ภาค 1 ตอนที่ 15 “โรคที่รักษาไม่ได้ : Part II”
- 18naturalmind
- Feb 1
- 1 min read
Updated: Apr 27
Qigong and I The Series โดย : ป่าน

หลังจากที่ดิฉันโดนวางยาสลบเพื่อส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ ผลการตรวจก็ออกมาว่า…
ลำไส้ใหญ่ปกติ ไม่มีปัญหาอะไรเลย
หักมุมสุดๆ
ในเมื่อตรวจไม่เจออะไร คุณหมอก็เลยไม่ได้นัดมารักษาต่อเนื่อง แต่สั่งยาให้ดิฉันเป็นกระบุง ล้วนแต่เป็นยาที่ช่วยเรื่องการขับถ่าย ประมาณว่าดีร้ายมันก็ต้องเวิร์คสักตัวหนึ่งแหละ กินให้ครอบจักรวาลไปเลย
ยาเหล่านี้ช่วยให้ดิฉันพอจะขับถ่ายได้บ้าง เพราะนอกจากจะทำให้ลำไส้บีบตัวได้แรงขึ้นแล้ว ยังช่วยเพิ่มไฟเบอร์หรือกากใยอาหารด้วย คือพอกินเข้าไป มันจะพองตัวในลำไส้เราแล้วช่วยดูดซึมอุจจาระออกมาเวลาที่เราขับถ่าย แต่แม้กระนั้น การขับถ่ายของดิฉันก็หาได้กลับมาเป็นปกติไม่ ยังคงมีปัญหาอีรุงตุงนังซับซ้อนซ่อนเงื่อนไปหมด
ประการแรก ดิฉันมีอาการ ‘ถ่ายไม่สุด’ ทุกวัน คือแม้จะขับถ่ายได้แต่ก็ไม่โล่งสบายท้อง เพราะมันออกมาได้แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น อีกส่วนหนึ่ง (ซึ่งอาจจะเยอะกว่า) ไม่ยอมออกมา ต่อให้เบ่งแรงแค่ไหนก็ไม่ออก ที่จริงเมื่อก่อนก็มีบ้างที่ดิฉันถ่ายไม่สุด แต่ไม่ใช่ทุกวันแบบนี้ พอเป็นทุกวันสะสมไปเรื่อยๆ ก็ท้องแน่นท้องอืด และปวดท้องหน่วงๆ ตลอดเวลา
ในขณะเดียวกัน ยาหลายขนานที่กิน ก็ทำให้ดิฉันปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำได้ตลอดเวลา เพราะยามันก็พยายามจะให้ดิฉันขับถ่ายให้ได้ ดิฉันก็เลยปวดมวนท้องแทบจะทั้งวัน ซึ่งพอเริ่มปวดปุ๊บก็ต้องวิ่งเข้าห้องน้ำทันที ถ้าวิ่งไม่ทันอาจมีเล็ดลอดได้ แต่แม้จะปวดขนาดไหนมันก็จะเป็นเหลวๆ ออกมานิดเดียว แล้วพอไปนั่งจริงๆ ก็ไม่ออก
เป็นอันว่า ดิฉันก็เหมือนท้องเสียกับท้องผูกในเวลาเดียวกัน บ้าบอไปหมด จะไปไหนมาไหนก็ไม่สะดวก เพราะถ้าปวดท้องขึ้นมาก็ต้องเข้าห้องน้ำทันที เข้าแล้วก็ขับถ่ายได้บ้างไม่ได้บ้าง ไม่อยากนั่งแช่ก็ลุกออกมา แต่ออกมาไม่ทัน 5 นาทีก็อาจจะปวดท้องวิ่งเข้าไปใหม่ เป็นเช่นนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
นานวันเข้า ดิฉันก็กินอาหารได้น้อยลงเรื่อยๆ เพราะรู้สึกปวดท้องและแน่นท้องตลอดเวลา จนทำให้ไม่หิวและไม่อยากอาหาร ซึ่งอาจจะเป็นอาการทางจิตด้วยส่วนหนึ่ง เพราะรู้สึกว่ากินเข้าไปแล้วจะขับถ่ายออกมาไม่ได้ แต่จะยิ่งไปสะสมกับของเดิม ทำให้ยิ่งท้องอืดท้องเฟ้อเข้าไปใหญ่
สุดท้ายเพื่อประทังชีวิตให้รอด ดิฉันก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทนกระเดือกอาหารเข้าไปเท่าที่จะกินได้ โดยไม่ได้มีความอยากอาหารแม้แต่น้อย
น้ำหนักดิฉันลดฮวบ จาก 45 เหลือ 38 กิโลกรัม ภายในเวลาไม่กี่เดือน
ช่วงนั้น มีงานรับปริญญา เพื่อนดิฉันรับปริญญาเอก (ไม่ใช่คนเดียวกับที่เล่าเมื่อ Ep.ก่อนๆ นะคะ ที่เล่าถึงเพื่อนมานี่ยังไม่ซ้ำคนเลยค่ะ ฮ่าๆๆ) วันนั้นดิฉันตื่นแต่เช้าเพื่อจะไปถ่ายรูปกับเพื่อน แต่รู้สึกปวดท้องมากกว่าที่ปวดตามปกติ ก็เลยไปแวะโรงพยาบาลก่อน
คุณหมอคลำท้องดิฉัน กดตรงไหนก็ปวด และหลังจากตรวจเสร็จและฟังอาการต่างๆ แล้ว คุณหมอก็บอกว่าเป็นเพราะมีอุจจาระคั่งค้างมากนั่นแหละ ถึงได้ปวดขนาดนี้
คุณหมอสั่งยาแก้ปวดอย่างแรงให้กินตรงนั้นเลย ดิฉันจึงสามารถไปถ่ายรูปกับเพื่อนตามนัดได้ โดยอาการปวดค่อยทุเลาลง แต่ก็ไม่หายสนิท
เมื่อเพื่อนในกลุ่มซึ่งไปถ่ายรูปด้วยกัน ได้ฟังเรื่องราวอาการท้องไส้แปรปรวนขั้นวิกฤติของดิฉันแล้ว ต่างก็มีท่าทีสยดสยอง เพื่อนคนหนึ่งประกาศว่า
“ฉันชอบกินไส้ตันมากเลยนะ แต่พอมาฟังเรื่องแก ฉันขอเลิกกินไส้ตันตลอดไป”
ไส้ดิฉันตันหรือเปล่าก็ไม่รู้แหละ แต่ดิฉันก็ใช้ชีวิตและทำงานตามปกติไปทุกวันโดยไม่มีวันใดเลยที่ไม่ปวดท้อง เพียงแต่ปวดมากปวดน้อยเท่านั้นเอง
ครั้งหนึ่งหลังกลับจากทำงาน ดิฉันอาบน้ำเสร็จ รู้สึกปวดท้องมากจนเดินตัวงอ หน้าตาเหยเก
ปกติดิฉันจะไม่ค่อยบ่นอะไรกับใครเท่าไหร่เวลาไม่สบาย เพราะไม่อยากให้ใครต้องมาเป็นห่วง น้องชายดิฉันผู้อยู่บ้านเดียวกันก็เลยมักจะไม่ถาม เพราะถึงถามดิฉันก็ไม่ค่อยตอบ เป็นอันรู้กัน
แต่วันนั้นน้องชายเห็นอาการดิฉันแล้วคงอดรนทนไม่ได้ จึงถามด้วยความเป็นห่วงว่า “เป็นไงมั่งเนี่ย”
ตอนนั้นดิฉันสุดจะทนจนไม่รู้จะปิดบังไปทำไม ก็เลยตอบไปตามความจริงว่า
“แย่มาก ปวดท้องตลอดเวลา และตอนนี้ปวดมาก ตั้งแต่เป็นโรคนี้มาเกือบปี ไม่รู้สึกสบายเลยแม้แต่วันเดียว”
น้องชายดิฉันฟังแล้วนิ่งงันไป มองดูหน้าก็รู้ว่าเหวอขั้นสุด และอัดอั้นตันใจมากเพราะสงสารดิฉันมากแต่ไม่รู้จะช่วยยังไงดี
และแล้ววันหนึ่ง หลังจากอยู่กับอาการนี้มาเกือบปี ก็มีเหตุบังเอิญที่ทำให้ดิฉันได้รู้ว่า ตกลงโรคประหลาดที่ดิฉันเป็นอยู่นี้ คือโรคอะไร
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
บันทึก อ.สุรศักดิ์
รูปแบบการแพทย์ตะวันตก (หมอฝรั่ง) มีการพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด จนกลายเป็นกระแสหลัก เป็น “การแพทย์แผนปัจจุบัน”
ในขณะที่การแพทย์ของจีน อินเดีย ฯลฯ กลายเป็น “การแพทย์ทางเลือก” ถูกครอบความคิดว่าเป็น ทางเลือกที่ ไม่ทันสมัย ไม่เป็นวิทยาศาสตร์
หากมองด้วยใจที่เป็นกลาง การแพทย์แผนปัจจุบันก็เป็นเพียง “1 ในทางเลือกของเรา” เท่านั้น การแพทย์ตะวันตก มีจุดเด่น และก็มีจุดอ่อน มีกลุ่มโรคที่จัดการบำบัดได้ดี และมีโรคที่อยู่เกินความสามารถ ตรวจไม่พบ หรือ รักษาไม่ได้
ในขณะที่การแพทย์ตะวันออกเช่นของ จีน อินเดีย ซึ่งมีประวัติศาสตร์มากกว่า 5,000 ปี มีปรัชญาและมีวิธีคิดที่แตกต่าง มีโรคเป็นจำนวนมากซึ่งแพทย์แผนปัจจุบันรักษาได้ไม่ดี แต่การแพทย์ตะวันออกบำบัดรักษาได้อย่างไม่ยากนัก

