top of page

ภาค 1 ตอนที่ 21 “เป็นคนไข้ต้องอดทน”

  • 18naturalmind
  • Feb 23
  • 1 min read

Updated: Apr 27

Qigong and I The Series โดย : ป่าน


ree

Ep.นี้ ดิฉันนั่งเขียนอยู่ที่โรงพยาบาล ระหว่างที่กำลังรอเรียกคิวเข้าพบแพทย์ เป็นการใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ แทนที่จะนั่งรอตั้งนานสองนานอยู่เปล่าๆ


เป็นคนไข้นี่ต้องอดทนมากเลยนะ แค่เจ็บป่วยก็ลำบากมากแล้ว พอเข้ากระบวนการรักษาก็ใช่ว่าจะสบาย เวลาอันมีค่าในชีวิตสูญเสียไปไม่รู้เท่าไหร่ บางทีแค่รอหมอก็หมดไปครึ่งค่อนวันแล้ว ยังไม่นับที่ต้องรอจ่ายเงินและรอรับยา


นึกถึงคำว่า ‘คนไข้’ ในภาษาอังกฤษ เขาใช้คำว่า patient ซึ่งมีอีกความหมายหนึ่ง คือ ‘อดทน’ สมแล้วล่ะที่คำว่า ‘คนไข้’ กับ ‘อดทน’ เขาใช้คำเดียวกัน เพราะแค่ดิฉันผู้เป็นคนไข้ต้องมานั่งรอหมอเนี่ย ก็รู้สึกว่าต้องใช้ความอดทนอย่างมากแล้ว


เรื่องความอดทนของคนไข้นี้ มีประเด็นที่น่าคิดอยู่ เพราะคนเรามีระดับความอดทนต่างกัน และยังพอใจที่จะอดทนกับอะไรที่แตกต่างกันด้วย


อย่างเช่นดิฉัน เป็นคนที่จะไม่ทนกับความป่วยเลย ถ้ามีอาการเจ็บป่วยอะไรขึ้นมา จะต้องรีบหาวิธีแก้ไขโดยด่วน จะไปหายากิน หรือไปหาหมอก็แล้วแต่ แต่จะไม่ทนป่วยไปก่อนแล้วรอให้มันหายเองตามธรรมชาติ เพราะไม่รู้จะทนไปทำไม นอกจากว่าถ้าทำทุกอย่างเต็มที่แล้วยังไม่หาย จึงค่อยทน จนกว่าจะมีหนทางอื่นใดที่ช่วยให้หายป่วยได้นั่นแหละ ถ้าเป็นหนทางที่สมเหตุสมผลและไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่จะทำได้ ดิฉันก็จะทำทันที เพราะไม่อยากทนกับความเจ็บป่วยแล้ว ดังที่เขียนเล่าไปใน Ep.ก่อนๆ


แต่ดิฉันก็มีญาติมิตรหลายคนที่ทนกับความเจ็บป่วยของตัวเองได้ดีมาก บางคนเป็นอะไรก็ไม่ค่อยไปหาหมอ เพราะกลัวหมอตรวจเจอโรคร้าย ถือคติว่า “ถ้าไม่ตรวจก็ไม่เจอ” ก็เลยทนอยู่อย่างนั้นจนอาการมากขึ้นเกินเยียวยา บางคนไปหาหมอ รับการรักษาแล้ว จะรักษาได้หรือไม่ได้ หายหรือไม่หาย มีผลข้างเคียงอย่างไรก็ทนได้ทั้งนั้น แต่ถ้าจะให้ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต วิธีคิด หรือหาทางเลือกและโอกาสอื่นๆ ให้ตนเองบ้าง ก็ปฏิเสธไว้ก่อน เพราะทนกับความเจ็บป่วยได้มากกว่าการเปลี่ยนแปลงตัวเอง


เรื่องนี้ที่จริงก็ไม่มีใครผิดใครถูก เพราะทุกคนก็มีสิทธิ์เลือกว่าจะทนหรือไม่ทนกับอะไร และจะทนไปถึงระดับไหน


สำหรับดิฉันเอง มีเรื่องที่ต้องทนเยอะแล้ว ก็เลยเบื่อที่จะต้องมาอดทนอะไรแบบที่คนไข้เขาอดทนกัน ดังนั้นดิฉันจึงพยายามทำยังไงก็ได้ ให้ตัวเองอยู่ในสภาวะ ‘คนไข้’ น้อยที่สุด จะได้เหลือสิ่งที่ต้อง ‘อดทน’ แค่เล็กน้อย


วิธีการของดิฉันก็คือ ฝึกชี่กงอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ และหาหมอแผนปัจจุบันควบคู่กันไป


ดิฉันยังไม่ทิ้งการรักษาด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน เพราะหมอยังนัดไปตรวจติดตาม (follow) โรคเนื้องอกที่ต่อมใต้สมอง ซึ่งต้องรักษาต่อเนื่องอยู่ ยาก็ต้องกิน เพราะไม่อยากเสี่ยงกับการสูญเสียดวงตา ในขณะเดียวกันก็ใช้วิชาชี่กงสร้างความสมดุลให้แก่ร่างกายและจิตใจ บรรเทาผลข้างเคียงจากการรักษา และพัฒนาสุขภาพกายสุขภาพจิตให้ดียิ่งๆ ขึ้น


ถ้าจะเอาแต่กินยาอย่างเดียว ไม่ฝึกชี่กงเลย ดิฉันคงได้โรคแถมมาอีกเป็นกระบุง เพราะเป็นที่รู้กันว่ายาแผนปัจจุบันทุกชนิดมีผลข้างเคียงทั้งนั้น การที่มันไปกดอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง ร่างกายก็จะพยายามทดแทนด้วยสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จนในที่สุดสมดุลร่างกายก็รวนไปหมด ถ้าดิฉันไม่รู้จักดูแลรักษาความสมดุลเพื่อชดเชยส่วนที่ขาดๆ เกินๆ อยู่ล่ะก็ อีกไม่นานคงได้จองวัดจองเมรุแน่นอน


ตรงข้าม ถ้าจะไม่กินยาเลย อาศัยแค่ฝึกชี่กงอย่างเดียว ดิฉันก็คงต้องลาออกจากงานมาฝึกทั้งวันทั้งคืน จึงจะทันกับอาการของโรค แต่ในเมื่อทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะยังต้องทำมาหากินอยู่ ก็ต้องหาจุดที่เป็น ‘ทางสายกลาง’ สำหรับตัวเอง ที่จะไม่สุดโต่งไปทางใดทางหนึ่งมากเกินไป


เรื่องนี้ดิฉันไม่ได้คิดเองหรอก อ.สุรศักดิ์ นั่นแหละที่จุดประกายให้ดิฉันคิดได้ เพราะช่วงแรกๆ ที่มาฝึกชี่กงนั้น ดิฉันกำลังเซ็งตัวเองที่เลือกรักษาโรคเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ด้วยการฉีดยา จนทำให้เกิดผลข้างเคียง เป็นโรคเนื้องอกที่ต่อมใต้สมองแถมมาอีกโรคหนึ่ง ดิฉันก็เลยบ่นกับอาจารย์ว่า


“รู้งี้ให้หมอตัดมดลูกไปเลยก็ดี”


อาจารย์หัวเราะขำ บอกดิฉันว่า


“ดีแล้วที่ไม่ได้ตัด เพราะถ้าตัดไป กว่าจะฟื้นฟูให้ร่างกายสมดุลได้ อีกนานเลย”


ดิฉันฟังแล้วรู้สึกเหมือนโดนกระตุกความโง่ออกจากหัว เกิดความเข้าใจทันทีเลยว่า การตัดอวัยวะออกไปก็เป็น ‘ความสุดโต่ง’ อย่างหนึ่ง หมอจึงทำเฉพาะในเคสที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น เราโชคดีแล้วที่ยังมีอวัยวะครบ 32 อย่างน้อยการที่อวัยวะยังอยู่ครบก็เป็น ‘ความสมดุล’ ในตัวมันเอง


ตั้งแต่นั้นดิฉันก็เลยไม่รู้สึกว่าการรักษาที่ผ่านมาคือความผิดพลาด แต่มองว่าการพึ่งพาแพทย์แผนปัจจุบันในการรักษาโรคบางโรคก็สะดวกรวดเร็วดี เพียงแต่เราจะต้องสามารถพึ่งพาตัวเองได้ด้วย คือต้องรู้จักดูแลรักษาตัวเองในส่วนที่หมอช่วยไม่ได้ ไม่ใช่เอาแต่พึ่งพาหมออย่างเดียว


อ.สุรศักดิ์ เคยบอกลูกศิษย์ทุกคนอยู่เสมอว่า “ใครไม่เชื่อแพทย์แผนปัจจุบันก็โง่ แต่ใครเชื่อมากเกินไปก็โง่ยิ่งกว่า” ดิฉันว่านี่แหละคือสุดยอดแห่ง ‘ทางสายกลาง’


ถ้าไม่เชื่อการแพทย์แผนปัจจุบันเลย ดิฉันว่าก็เสี่ยงเหมือนกันนะ เพราะเราก็ยังไม่ถึงขั้นที่ฝึกชี่กงจนแก่กล้าพอที่จะบำบัดรักษาตัวเองได้ทุกอย่าง แต่ถ้าเชื่อการแพทย์แผนปัจจุบันมากเกินไป จนปฏิเสธที่จะฝึกฝนพัฒนาตนเพื่อให้สามารถบำบัดรักษาตัวเองได้บ้าง ก็น่าเสียดายโอกาสมากๆ ถึงขั้นเสียชาติเกิดเลยแหละ ในความรู้สึกของดิฉัน


พิจารณาแล้ว ดิฉันก็เลยเชื่อทั้งคุณหมอ เชื่อทั้งตัวเอง อย่างพอดีๆ


แล้วก็ได้พบว่า ความเชื่อทั้งสองอย่าง สนับสนุนส่งเสริมกันเป็นอย่างดีด้วย เพราะผลตรวจที่เป็นตัวเลข เป็นสถิติ เป็นภาพถ่าย ของการแพทย์แผนปัจจุบัน จะพิสูจน์ให้เราเห็นอย่างเป็นรูปธรรมเลยว่า การฝึกชี่กงควบคู่ไปกับการรักษานั้น ให้ผลเป็นอย่างไร


ลองมาดูผลตรวจของดิฉันกัน เดี๋ยวก็รู้ว่าหมู่หรือจ่า


อ้อ! ลืมบอกไปว่าวันนี้ดิฉันมาหาหมอทำไม


คือสัปดาห์ที่แล้ว ดิฉันไปตรวจแมมโมแกรมและอัลตราซาวด์ประจำปีมา เพราะเมื่อประมาณ 10 ปีก่อน ดิฉันไปผ่าตัดซีสต์ที่เนินอกด้านขวา แล้วก็ต้องเฝ้าระวังมะเร็งทรวงอกมาโดยตลอด เนื่องจากในทรวงอกมีถุงน้ำเยอะมากๆ ดังนั้นในแต่ละปี หลังจากตรวจแมมโมแกรมและอัลตราซาวด์แล้ว หมอเจ้าของไข้ก็จะนัดมาพบเพื่อดูผลตรวจและประเมินผลด้วยกัน ทั้งนี้ ตั้งแต่ดิฉันมาฝึกชี่กง ก็ปรากฏว่าถุงน้ำในทรวงอกลดจำนวนลงเรื่อยๆ ดังที่เขียนเล่าไปใน Ep.13 “ถุงน้ำในร่างกายกับกาแฟและช็อกโกแลต”


และแล้วพยาบาลก็เรียกคิวดิฉันเข้าไปพบคุณหมอ


ผลการตรวจก็คือ…


ถุงน้ำในทรวงอกดิฉันไม่เหลือแล้ว หายเกลี้ยง


คุณหมอบอกว่า ต่อจากนี้ พอตรวจแมมโมแกรมและอัลตราซาวด์ประจำปีแล้ว ให้คนไข้มารับผลเอง ไม่ต้องพบหมอแล้วนะ หมอไม่นัดต่อ


หมอปิดเคสจ้ะ


ไชโย! (นี่คือ Inner ทั้งของคุณหมอและคนไข้)


(โปรดติดตามตอนต่อไป)



บันทึก อ.สุรศักดิ์


ถุงน้ำ ในตัวป่านมีเป็นจำนวนเป็นร้อยๆ....


แต่เมื่อร่างกายและจิตใจได้ดุลยภาพ สิ่งแปลกปลอม เหล่านี้ก็ค่อยๆ สลายตัวไปหมด


ทางสายกลาง หมายถึง วิถีแห่งดุลยภาพ เป็นวิธีคิด ปฏิบัติที่พอดี ได้สัดส่วน พอเหมาะพอดี ทำให้สามารถบรรลุจุดหมายแห่งชีวิตที่งดงาม มีความสุข


เป็น​วิถีแห่งปัญญา

bottom of page