ภาค 1 ตอนที่ 17 “โรคที่รักษาไม่ได้ Part IV”
- 18naturalmind
- 8 ก.พ.
- ยาว 1 นาที
อัปเดตเมื่อ 27 เม.ย.
Qigong and I The Series โดย : ป่าน

คำว่า “วัยทอง” เป็นคำที่ไพเราะดี แต่คงไม่มีใครอยากถึงวัยนั้นเร็วเกินไปนัก ยกเว้นคนที่ไม่มีทางเลือก ดังเช่นดิฉันนี่แหละ
หลังจากที่ดิฉันได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ และต้องรับการรักษาด้วยการฉีดยาเข้าสะโพกทุกเดือนเพื่อระงับการตกไข่ ดิฉันก็เข้าสู่ภาวะ ‘วัยทองฉับพลัน’ โดยสมบูรณ์
ภาวะดังกล่าวนี้ มีความรุนแรงมากหรือน้อยกว่าวัยทองปกติหรือไม่อย่างไร ดิฉันไม่อาจรู้ได้ แต่พูดได้เลยว่าวัยทองฉับพลันนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ
จากที่เคยได้ยินได้ฟังผู้ใหญ่เล่าว่า จะมีอาการร้อนวูบวาบอย่างนั้นอย่างนี้นะ เมื่อก่อนก็จินตนาการไม่ออกหรอกว่า ‘ร้อนวูบวาบ’ เป็นยังไง จนกระทั่งมาเจอกับตัวนี่แหละ ถึงได้รู้ซึ้ง
คือมันไม่เหมือนความร้อนเวลาอากาศร้อน เพราะนั่นเป็นความร้อนจากภายนอก แต่ ‘ร้อนวูบวาบ’ เป็นความร้อนจากภายใน คืออยู่ดีๆ ก็รู้สึกร้อนจากข้างในทรวงอก แล้วก็แผ่ขึ้นไปถึงใบหน้า ลงไปทั่วตัว ร้อนขึ้นเรื่อยๆๆๆๆๆ จนเหงื่อแตกพลั่กๆ
ที่ว่า ‘อยู่ดีๆ ก็รู้สึก’ นั่นน่ะ มันเป็นแบบนั้นจริงๆ คือไม่มีต้นสายปลายเหตุอะไรเลย ตัวอย่างเช่น กำลังเมาท์มอยเพลินๆ ในห้องแอร์เย็นฉ่ำ จู่ๆ ก็ร้อนวูบวาบขึ้นมาซะงั้น ซึ่งพอร้อนแล้ว ไม่ว่าจะพัดวียังไงก็ไม่หาย เพราะมันร้อนมาจากข้างใน ดังนั้นจึงทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากนั่งนิ่งๆ ตั้งสติ แล้วรอให้มันหายไปเอง
อาการร้อนวูบวาบนี้ ถ้าเป็นแค่ตอนกลางวันก็พอจะรับมือได้อยู่ แต่ตอนกลางคืนนี่ไม่ไหวจะทน เพราะนอนอยู่ดีๆ ก็ร้อนขึ้นมาจนเหงื่อโชก ถีบผ้าห่มออกแทบไม่ทัน จากนั้นพอหายร้อนก็หนาวสะท้านขึ้นเรื่อยๆ ต้องลุกขึ้นควานหาผ้าห่ม เป็นแบบนี้สลับกันไปทั้งคืน จนไม่สามารถนอนหลับให้สนิทได้เลย
นอกจากนี้ อาการอื่นๆ ก็ตามมาเพียบ เช่น ผิวหน้าเริ่มมีริ้วรอย ผมก็หงอกมากขึ้น คอเลสเตอรอลสูงขึ้น ปวดเมื่อยหนักขึ้น อาการใจสั่นที่เป็นอยู่ก็เป็นมากขึ้น สรุปแล้วคือสังขารร่วงโรยกลายเป็นคนแก่อย่างรวดเร็วนั่นเอง
นี่ยังไม่นับที่ต้องขึ้นขาหยั่งตรวจภายในทุก 3 เดือนอีกนะ
ที่จริงการตรวจภายใน ถ้าตรวจปีละครั้งตามปกติแบบคนปกติทั่วไปก็ไม่กระไรหรอก แต่ปีละ 4 ครั้งเนี่ย!!! แล้วหมอก็มือหนักไม่บันยะบันยังเลยเหอะ
ช่วงเวลาที่นอนอยู่บนขาหยั่งและพยายามกัดฟันทนความเจ็บนั้น มันยากมากเลยที่จะคิดหวังอะไรในทางดี สิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวมีแต่ความคิดที่ว่า ‘กุไปทำเวรทำกรรมอะไรมาเนี่ยยยยย’
เท่านั้นยังไม่พอ ดิฉันยังมีอาการอย่างหนึ่งซ้อนขึ้นมาอีก เป็นอาการที่โดยปกติไม่ค่อยเป็นเท่าไรนัก นั่นก็คืออาการเรอ
ดิฉันเป็นคนไม่ค่อยเรอ ต่อให้กินอิ่มมากๆ ก็เรอแค่ครั้งเดียวเท่านั้น พักหลังพอเริ่มเรือพร่ำเพรื่อก็เลยรู้สึกว่าชักไม่ได้การ
น้องที่สนิทคนหนึ่งของดิฉัน เป็นโรคกรดไหลย้อน เขาเคยเล่าให้ฟังว่า อาการแรกเริ่มคือการเรอนี่แหละ
ตอนนั้นดิฉันรู้สึกว่าโรคนี้ไกลตัวมาก เพราะมันเป็นโรคที่เกิดจากพฤติกรรมการกินการนอนที่ไม่เหมาะสม เวลาพ่อแม่ปู่ย่าตายายบอกเราว่า “อย่ากินข้าวคำน้ำคำ” หรือ “กินเสร็จอย่าเพิ่งนอนทันที เดี๋ยวกลายเป็นงูนะ” ก็คือกุศโลบายให้ระบบย่อยอาหารของเราทำงานได้เป็นปกตินั่นเอง ดิฉันเองก็ได้รับการอบรมสั่งสอนแบบนี้มาจากยาย และระมัดระวังเรื่องการกินการนอนมาตลอด จึงมั่นใจว่าตัวเองไม่มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคกรดไหลย้อนแน่ๆ
แต่แล้ว นอกจากเรอ อาการอื่นๆ ก็เริ่มมา
ทั้งแสบร้อนกลางอกขึ้นมาถึงคอ และเหมือนมีก้อนแข็งๆ จุกอยู่ที่คอตลอดเวลา บางทีกลืนข้าวกลืนน้ำลายก็ติด พอกลืนติดปั๊บก็แน่นหน้าอกหายใจไม่ออก ครบถ้วนกระบวนความ
ในที่สุด ดิฉันก็ต้องไปหาหมอ
หมอบอกว่า กรดไหลย้อนมันก็มาคู่กับเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่นั่นแหละ เพราะด้านหลังมดลูกที่หนาตัวขึ้นมันไปดันลำไส้แล้วก็ดันขึ้นมาเรื่อยๆ ทำให้กรดในกระเพาะอาหารถูกดันขึ้นมา จึงต้องรักษา 2 โรคนี้ไปควบคู่กัน
ว่าแล้ว หมอก็สั่งยาให้ดิฉัน เป็นยาลดกรดในกระเพาะอาหาร เพื่อให้หลั่งกรดน้อยลง แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าหลั่งกรดน้อยลง การย่อยก็จะไม่ค่อยดี หมอก็เลยสั่งยาช่วยย่อยให้กินควบคู่ไปด้วย พร้อมกันนั้นก็สอนให้ดิฉันปรับพฤติกรรมการกินการนอนให้เข้มงวดมากขึ้นไปอีก เช่น งดชากาแฟ (อีกแล้วครับท่าน) กินนมพร่องมันเลย ลดอาหารมันอาหารทอดอาหารเผ็ดจัด และเมื่อกินข้าวเสร็จอย่าเพิ่งกินน้ำทันที เพราะน้ำจะไปเจือจางกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้กระเพาะอาหารยิ่งพยายามหลั่งกรดมากขึ้น ดังนั้นพอกินเสร็จก็ปล่อยให้กรดมันทำงานสักพักก่อน ค่อยกินน้ำตาม
ทั้งหมดนี้ ดิฉันปฏิบัติตามได้ค่อนข้างเคร่งครัดทีเดียว แต่ก็ยังสู้ความแกร่งแรงเกินร้อยของโรคไม่ได้
เพราะอาการกรดไหลย้อนของดิฉัน มันหนักมากกกกกกกก
หนักขนาดไหน โปรดติดตามค่ะ
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
บันทึก อ.สุรศักดิ์
ในวิชาชี่กงและแพทย์แผนจีน จะให้ความสำคัญกับคำว่า “สมดุล” และ “ธรรมชาติ” หากเข้าใจและปฏิบัติตามหลักแห่งวิถีธรรมชาติได้ ก็สามารถจะใช้ชีวิตสมดุล ป้องกันและบำบัดโรคนานาชนิด มีสุขภาพ กาย ใจ ที่แข็งแรง ยั่งยืน ตราบจนถึง จุดสูงสุดของ อายุขัยตามธรรมชาติ