ภาค 2 ตอนที่ 11 “สืบจากม้าม : Part II”
- 18naturalmind
- 18 พ.ค.
- ยาว 1 นาที
Qigong and I The Series โดย : ป่าน

ก่อนหน้านี้ใน Ep.10 "สืบจากม้าม : Part I" ดิฉันได้เล่าถึงอาการเจ็บป่วยต่างๆ ที่บ่งบอกอย่างชัดเจนมากว่าดิฉันมีปัญหาที่ระบบม้าม ทำให้ระบบย่อยอาหารและระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ รวมทั้งทำให้ร่างกายมีภาวะชื้น ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพต่างๆ ที่ดิฉันประสบอยู่
นั่นทำให้ดิฉันได้รับคำตอบในข้อที่สงสัยมานาน เป็นคำตอบที่ไม่มีหมอคนใดเคยให้ได้ นอกจากคำอธิบายอย่างกว้างเป็นมหาสมุทรว่า "แต่ละคนไม่เหมือนกัน"
คนเรานี้ก็มีอะไรแปลกอยู่อย่าง คือถ้าเจ็บป่วยขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ ความรู้สึกจะแตกต่างจากการเจ็บป่วยโดยรู้สาเหตุมาก
ทั้งๆ ที่อาการป่วยอาจจะเท่ากัน แต่ถ้าเรารู้สาเหตุว่าเป็นเพราะอะไร เราจะรู้สึกเบาใจและมีกำลังใจดี แต่ถ้าไม่รู้สาเหตุ หรือหาสาเหตุไม่เจอแล้วล่ะก็ ความหนักใจ ความกังวล ความนอยด์ ความท้อแท้ จะมาเต็ม
คงเป็นเพราะว่า ถ้ารู้สาเหตุ หมอก็จะรักษาได้ตรงจุด เราจึงมีความหวังว่าจะหายป่วยได้แน่นอน แต่ถ้าไม่รู้สาเหตุ ก็ทำได้แค่รักษาที่ปลายเหตุ รักษาตามอาการ หรือทดลองเหวี่ยงแหไปเรื่อยๆ ซึ่งก็มองไม่ค่อยเห็นอนาคตว่าสุดท้ายปลายทางมันจะไปจบที่ตรงไหน จะจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งหรือน้ำตาท่วมจอก็ไม่อาจรู้ได้
อย่างนี้นี่เอง พระพุทธเจ้าถึงสอนให้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ถ้าทำ 'เหตุ' ให้ดี ก็จะเกิด 'ผล' ที่ดีตามมา
อย่างดิฉัน เมื่อได้รู้แล้วว่าสาเหตุใหญ่ของการเจ็บป่วยคือม้ามอ่อนแอ ก็ต้องแก้ปัญหาด้วยการบำบัดรักษาและบำรุงม้าม โดยใช้วิชาชี่กงนี่แหละ เพราะถ้าไปทำอย่างอื่นก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะมีอะไรตรงประเด็นกว่านี้ได้
ท่านผู้อ่านที่อยากรู้ว่าดิฉันฝึกชี่กงยังไงเพื่อบำบัดรักษาโรคและฟื้นฟูสุขภาพของตัวเอง ขอให้อดใจรอสักนิดนะคะ ดิฉันจะเล่าให้ฟังใน Ep.ต่อๆ ไปค่ะ
แต่ก่อนจะไปถึงตอนนั้น ดิฉันต้องค้นหาสาเหตุแห่งความพังของตัวเองต่ออีกสักนิด
คือในเมื่อความพังของระบบม้าม เป็นสาเหตุที่ทำให้ดิฉันป่วย
แล้วสาเหตุที่ทำให้ระบบม้ามพัง คืออะไร
การแพทย์แผนจีนมีคำตอบให้ดิฉันแล้ว นั่นก็คือ ระบบที่เป็น 'แม่' ของระบบม้าม ได้พังมาแล้วก่อนหน้า
ระบบดังกล่าวก็คือ ระบบหัวใจ
หัวใจ เป็นแม่ของม้าม เพราะธาตุไฟ ก่อกำเนิดธาตุดิน
ท่านผู้อ่านที่ได้ติดตามซีรีส์นี้มาตั้งแต่ต้น คงจะจำได้ว่า ดิฉันเล่าไว้ในภาค 1 อย่างละเอียด ว่าเคยมีอาการภาวะหัวใจขาดเลือด ทำให้รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ และหัวใจเต้นผิดจังหวะเป็นประจำ ซึ่งแม้จะตรวจจับไม่ได้ด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ แต่เราผู้ป่วยก็รู้ตัวอยู่เองว่าไม่ปกติ และถ้าลองให้คนที่มีความรู้การแพทย์แผนจีนตรวจชีพจร (แมะ) ดู ก็จะจับความผิดปกติได้ทันที ดังที่ อ.สุรศักดิ์ ทักดิฉันตั้งแต่แรกนั่นแหละ
แต่ถ้าย้อนเวลาไปให้ไกลกว่านั้น จะเห็นเลยว่า หัวใจดิฉันอ่อนแอมากมาแต่ไหนแต่ไร เพราะตั้งแต่เข้าเรียนชั้นอนุบาล เข้าแถวกลางแดดทีไรดิฉันก็เป็นลมทีนั้น แทบจะอยู่ห้องพยาบาลมากกว่าห้องเรียนอีก
จำได้เลือนรางว่า พ่อแม่น่าจะได้พาดิฉันไปหาหมอจีนอยู่เหมือนกัน เพราะในความทรงจำส่วนหนึ่ง ทุกวันในช่วงสายๆ พี่เลี้ยงดิฉันจะไปหาที่โรงเรียน พร้อมทั้งหิ้วกระติกยาจีนซึ่งต้มจากหัวใจหมูไปด้วย ตามหลักของการแพทย์แผนจีนว่าถ้าจะบำรุงสิ่งใดก็ต้องกินสิ่งนั้น
ยานี้ ยายดิฉันน่าจะต้มตามสูตรที่หมอบอก และดิฉันก็ต้องกินตามเวลาในตอนที่ต้มเสร็จใหม่ๆ จึงต้องมีพิธีกรรมส่งยาดังที่ว่านี้
สำหรับเด็กที่เพิ่งเข้าโรงเรียนได้ไม่กี่ปี มันเป็นความทรงจำที่เลวร้ายมากเลยนะ เวลาที่ต้องขออนุญาตคุณครูออกไปกินยานอกห้องท่ามกลางสายตาของเด็กคนอื่นๆ ยาที่กินก็รสชาติหลอนมาก กลิ่นก็ขึ้นจมูก ไม่มีความอร่อยเลย ต้องกลั้นใจดื่มอึกๆๆๆ ให้หมดไป แล้วกินลูกอมตามจะได้ไม่อ้วก ทรมานสุดๆ
ดิฉันต้องกินยาแบบนี้อยู่เป็นปีๆ เลยทีเดียว ซึ่งน่าจะช่วยได้เยอะมาก เพราะพยุงให้ดิฉันมีชีวิตอยู่มาได้อีก 20 กว่าปีแน่ะ ก่อนที่ระบบในร่างกายจะพังทั้งหมด จนกระทั่งได้มาเรียนชี่กง
สรุปแล้ว เมื่อสืบย้อนไป ดิฉันคิดว่าสาเหตุที่ระบบม้ามอ่อนแอ ก็เป็นเพราะระบบหัวใจอันเป็นระบบแม่อ่อนแอมาก่อนแล้วนั่นเอง
เมื่อแม่อ่อนแอ จะให้กำเนิดลูกที่แข็งแรงก็คงยาก ม้ามดิฉันก็ไม่ได้เป็นอภิชาตบุตรแบบ 'วันเฉลิม' ในเรื่อง 'ทองเนื้อเก้า' ซะด้วยสิ
ดังนั้น ถ้าอยากฟื้นฟูม้ามให้แข็งแรง ก็ต้องฟื้นฟูหัวใจด้วย เมื่อหัวใจแข็งแรงขึ้น ก็จะมาช่วยส่งเสริมม้ามอีกแรงหนึ่ง นอกเหนือจากที่เราบำรุงม้ามโดยตรง
เช่นเดียวกัน ถ้าจะฟื้นฟูหัวใจ เราก็ต้องมองย้อนไปอีกหน่อยว่าใครเป็นแม่ จะได้บำรุงถูก
โบราณเขายังบอกเลยว่า 'ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่' นี่เนอะ
(โปรดติดตามตอนต่อไป)