top of page

ภาค 2 ตอนที่ 10 “สืบจากม้าม : Part I”

  • 18naturalmind
  • 14 พ.ค.
  • ยาว 1 นาที

Qigong and I The Series โดย : ป่าน


ถ้าถามว่า อวัยวะภายในของคนเรามีอะไรบ้าง ส่วนใหญ่ก็คงจะตอบ หัวใจ ปอด ตับ ไต ลำไส้ หรือกระเพาะอาหาร

คงมีน้อยคนที่จะตอบว่า ม้าม

 

สมัยก่อนตอนเรียนวิชาชีววิทยา (ซึ่งก็หลายสิบปีมาแล้วแหละ ฮ่าๆๆ) ดิฉันก็รู้สึกอยู่เหมือนกันว่าในบรรดาอวัยวะภายในทั้งหมด ม้ามไม่ค่อยเด่นเท่าไหร่ เหมือนกับว่ามันมีหน้าที่ไม่ชัดเจนนัก จนเมื่อเวลาผ่านไป วิทยาการต่างๆ ก้าวหน้าขึ้น เขาจึงเริ่มค้นพบว่าม้ามเป็นอวัยวะภายในที่มีความสำคัญสุดๆ

 

นับว่าองค์ความรู้ในเรื่องนี้ การแพทย์แผนตะวันตกยังตามหลังการแพทย์แผนจีนอยู่ไกลโข

 

หลังจากได้เรียนพื้นฐานการแพทย์แผนจีนในคลาสชี่กงออนไลน์ ดิฉันอึ้งไปเลยเมื่อได้รู้ว่า ม้ามทำหน้าที่ดังต่อไปนี้

 

ควบคุมการย่อยอาหารและการดูดซึมสารอาหาร

 

ควบคุมการสร้างเลือด ด้วยสารอาหารและน้ำที่ได้จากการย่อยอาหาร

 

ควบคุมการส่งลำเลียงน้ำและเลือด ซึ่งประกอบด้วยสารอาหาร พลังงาน และภูมิคุ้มกัน ไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย เพื่อหล่อเลี้ยงให้มีชีวิต และปกป้องจากเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอม

 

ควบคุมปริมาณและคุณภาพของสารอาหาร พลังงาน น้ำ เลือด และภูมิคุ้มกัน ไม่ให้มีมากหรือน้อยเกินไป และถ้าเสื่อมคุณภาพก็กำจัดออก

 

ดังนั้น ถ้าม้ามอ่อนแอ จะเกิดอะไรขึ้น

 

ประการแรก มีปัญหาที่ระบบย่อยอาหาร

 

ประการที่ 2 มีปัญหาที่ระบบภูมิคุ้มกัน

 

และประการสำคัญ จะมีของเหลวและน้ำส่วนเกินสะสมคั่งค้างอยู่ในร่างกาย ทำให้เกิด 'ภาวะชื้น'

 

เมื่อร่างกายมีภาวะชื้น ก็จะเกิดอาการต่างๆ เช่น

 

มีเสมหะมาก ทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจต่างๆ เช่น หอบหืด

 

คอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์สูง นำไปสู่โรคร้ายแรงต่างๆ เช่น ไขมันพอกตับ โรคหัวใจและหลอดเลือด

 

มีอาการบวมน้ำ เป็นฝี เป็นหนอง เป็นซีสต์ เป็นเนื้องอก ซึ่งอาจพัฒนาไปเป็นมะเร็ง

 

วิธีสังเกตคนที่มีภาวะชื้น ก็ไม่ต้องดูอะไรมาก แค่แลบลิ้นดูก็รู้แล้ว

 

ถ้าข้างลิ้นมีรอยฟัน แสดงว่าลิ้นใหญ่จนไปชนซี่ฟันรอบด้าน ยิ่งถ้ามีฝ้าขาวที่ลิ้นเยอะ ก็ยิ่งชัดเจนว่าเป็นมนุษย์ชื้นแน่นอน

 

อย่างเช่นลิ้นดิฉันเนี่ย พูดก็พูดเถอะ รอยหยักรอบๆ คมชัดลึกยิ่งกว่าฝาจีบน้ำอัดลมอีกค่ะท่านผู้ชม

 

แล้วดูแต่ละโรคที่ดิฉันเป็นสิ ตรงประเด็นทั้งนั้น

 

ตั้งแต่ภูมิคุ้มกันพิกลพิการ ทำให้เป็นหวัดบ่อย จนกลายเป็นโรคระบบทางเดินหายใจเกือบทุกโรคในโลกนี้

 

ภูมิแพ้ผิวหนังก็เป็นหนักมาก อีกนิดเดียวก็เข้าเขต SLE (โรคแพ้ภูมิตัวเอง) แล้ว

 

แถมยังติดเชื้อต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย และพอติดเชื้อแล้วจะมีอาการหนักกว่าคนอื่น เพราะไม่มีภูมิคุ้มกันที่จะไปสู้กับโรค

 

อย่างเช่น ตอนเด็กๆ เคยเป็นทอนซิลอักเสบ หมอฉายไฟให้ดิฉันส่องกระจกดูในคอตัวเอง มันมีแต่หนองล้วนๆ ไม่มีชิ้นดีเลย เป็นภาพติดตามาก หมอซาดิสต์มากจะให้กุดูทำไมก็ไม่รู้ ตอนนั้นจำได้ว่าป่วยอยู่เป็นเดือน กินข้าวแทบไม่ได้เพราะแค่กลืนน้ำลายยังเจ็บราวกับกลืนมีด พูดก็ไม่ได้เช่นกันเพราะไม่มีเสียงใดๆ ออกมา กลายเป็นคนใบ้อยู่นานเกือบเดือนถึงได้หาย

 

หลังจากนั้น โรคไข้เลือดออกระบาด ดิฉันก็เป็นกะเขาด้วย เป็นหนักขนาดที่ว่าแทบไม่รู้สติ พ่ออุ้มไปหาหมอยังแทบไม่รู้เรื่อง พอหมอวัดความดันปุ๊บ จุดเลือดขึ้นพรึ่บเต็มทั้งแขน ต้องอยู่โรงพยาบาลเกือบครึ่งเดือน ดีที่รอดมาได้ ไม่ถึงแก่ชีวิต

 

ต่อมา น้องชายเป็นอีสุกอีใส ดิฉันก็ติดจากน้องไปอีก น้องเป็นนิดเดียว แป๊บเดียวหาย แต่ดิฉันตุ่มหนองขึ้นเฟะทั้งตัว โดยเฉพาะใบหน้า แทบไม่มีที่ว่างใดๆ แม้แต่บนหนังศีรษะก็ขึ้น ในคอก็ขึ้น หนองเต็มคอเต็มร่าง แม่แทบจะตัดใบตองมาให้รองนอน ยังกะจะเป็นฝีดาษ หมอต้องขอถ่ายรูปไว้เลยเพราะไม่เคยเห็นคนออกอีสุกอีใสเยอะขนาดนี้

 

นอกจากภูมิคุ้มกันจะบกพร่องดังที่กล่าวมา ดิฉันยังมีเนื้องอกในทรวงอกมาตั้งแต่จำความได้ หลังจากผ่าตัดออกไปแล้วยังต้องเฝ้าระวังมะเร็งอีกหลายปี เพราะมีถุงน้ำในทรวงอกเยอะจนนับไม่หวาดไม่ไหว

 

ประจำเดือนก็เหมือนกัน แทนที่จะออกพอดีๆ แบบคนอื่นเขา ก็ออกซะเพียบ จนบางเดือนเป็นลิ่มเลือดออกมาเลย ปวดท้องก็ปวด แถมเยื่อบุมดลูกยังไปพอกพูนอยู่ในที่ไม่ควรจะพอก กลายเป็นโรคเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ ซึ่งรักษาไปรักษามากลายเป็นเนื้องอกที่ต่อมใต้สมองเข้าไปอีก

 

ส่วนระบบย่อยอาหาร ก็มีความพังไม่แพ้ระบบภูมิคุ้มกัน เริ่มจากปราการด่านแรกของระบบย่อยอาหาร คือปาก ซึ่งเป็นอวัยวะที่สัมพันธ์โดยตรงกับม้าม

 

ปากดิฉันเนี่ย มีปัญหามาตลอดตั้งแต่เด็กๆ เลยนะ คือมันไม่เคยว่างเว้นจากการเป็นร้อนในเลย เจ็บปากทุกวันจนชาชิน พอแผลไหนเริ่มหาย แผลใหม่ก็พร้อมจะเกิด เพราะต้นเหตุอยู่ที่ความพังของระบบภูมิคุ้มกัน

 

เมื่อตอนที่ดิฉันเป็นผื่นรูปผีเสื้อบนใบหน้า กับผื่นวงๆ ตามตัว ดังที่เล่าไปในซีรีส์ภาค 1 นั้น ในปากดิฉันก็มีร้อนในอยู่ด้วย อาการทั้ง 3 นี้บ่งบอกว่าเกือบจะเป็น SLE แล้ว เพียงแต่มันไม่มีอาการอย่างอื่นร่วม หมอเลยไม่ฟันธง

 

นึกถึงตอนเป็นร้อนในสมัยเด็กๆ ก็ตลกดีเหมือนกัน คือยายดิฉันจะเอาเจนเชียนไวโอเลต หรือ 'ยาสีม่วง' ทาให้ จนม่วงไปทั้งปาก และยานี้ยายก็เอาไปใช้ทาหมาเพื่อรักษาขี้เรื้อนด้วย ดังนั้นปากดิฉันกับตัวหมาก็เลยมีแต้มเลอะๆ สีม่วงๆ เหมือนกันทุกวัน

 

ต่อจากนั้นพอดิฉันโตขึ้น ก็ได้ทดลองใช้ยาบรรเทาอาการร้อนในอีกหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบชงดื่ม แบบผงเอามาโรยใส่แผล แบบเจลซึ่งพอแต้มปุ๊บจะกลายเป็นฟิล์มเคลือบแผล แต่ก็ไม่มียาใดทำให้ดิฉันหายเป็นร้อนในได้เลย เพิ่งจะมาหายหลังจากเรียนชี่กงนี่แหละ

 

นอกจากนี้ เมื่อตอนที่เป็นโรคเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ ระบบย่อยอาหารของดิฉันก็รวนหมด เพราะเยื่อบุมดลูกที่หนาตัวขึ้นนั้น มันไปเบียดอวัยวะต่างๆ ในระบบย่อยอาหาร ทำให้เกิดโรคลำไส้แปรปรวน และกรดไหลย้อน เรียกได้ว่าพังอย่างครบถ้วน ทั้งหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่

 

เลือดดิฉันก็ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก เพราะคอเลสเตอรอลกับไขมันเลวยังเกินอยู่  ขนาดไม่ค่อยได้กินอาหารมันๆ นะ ยังดีที่ไตรกลีเซอไรด์ค่อนข้างต่ำ เลยพอถูไถเอาตัวรอดได้

 

พิจารณาจากอาการทั้งหมดนี้แล้ว ดิฉันว่า หากมีการจัดประกวดมนุษย์ชื้น ดิฉันเป็นตัวท็อปแน่นอน ถ้ามงไม่ลงจะงงมาก

 

ทีนี้ ในเมื่อมั่นใจว่าอาการเจ็บป่วยกว่า 70% ของตัวเอง มาจากความอ่อนแอของระบบม้าม ก็ควรจะต้องสืบสาวราวเรื่องต่อไปอีกหน่อย ว่าทำไมระบบม้ามจึงอ่อนแอง่อยเปลี้ยถึงขั้นนี้ได้

 

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

bottom of page