top of page

ภาค 2 ตอนที่ 6 “ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร”

  • 18naturalmind
  • 30 เม.ย.
  • ยาว 1 นาที

Qigong and I The Series โดย : ป่าน


สรุปแล้ว ดิฉันต้องอยู่โรงพยาบาล 3 วัน 2 คืน เพื่อรักษาโรคปอดบวม เทียบกับคราวที่แล้วที่เป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ ก็นานกว่านิดหน่อย เพราะคราวนั้นอยู่ 2 วัน 1 คืน คุณหมอก็ปล่อยกลับบ้านแล้ว


คุณหมอบอกว่าดิฉันหายเร็วดี และฟื้นตัวได้เร็วมากด้วย


ดิฉันอดคิดไม่ได้ว่า อาจเป็นเพราะได้ฝึกชี่กงมาระยะหนึ่งหรือเปล่า ทำให้ร่างกายมีพื้นฐานที่ดีขึ้นในระดับหนึ่ง แม้จะไม่ได้ฝึกต่อเนื่องมานานพอสมควร แต่ก็ยังพอจะมี 'บุญเก่า' ที่สร้างสมมาอยู่บ้าง


ใครจะว่างมงายก็ช่างเถอะ แต่ดิฉันเชื่อว่า ทุกท่านที่ได้อ่านเรื่องราวของดิฉันในซีรีส์นี้มาตั้งแต่ภาค 1 น่าจะเห็นด้วยว่า ถ้าสภาพร่างกายดิฉันยังเป็นเหมือนเดิมแบบที่เป็นมาตั้งแต่เกิดแล้วล่ะก็ ดิฉันไม่มีทางรอดแน่นอน


แล้วอะไรคือจุดเปลี่ยน ซึ่งทำให้คนที่มีสภาพร่อแร่แบบดิฉัน สามารถหายป่วยและฟื้นตัวได้รวดเร็วถึง 2 ครั้งซ้อน จนหมอปรารภแบบนี้ได้เล่า


แต่ในเมื่อดิฉันเอาแต่กินบุญเก่าโดยที่ไม่ได้สร้างเพิ่มเลยเกือบ 2 ปี จึงเป็นธรรมดาที่ดิฉันจะต้องเสวยวิบากกรรมต่อไปอีกหลังจากรักษาโรคปอดบวมหาย


หมอบอกดิฉันว่า ต่อไปนี้ต้องสังเกตตัวเองดีๆ ว่าหายใจได้ปกติหรือเปล่า หมอจะนัดมาตรวจติดตามเดือนละครั้ง เพื่อดูการทำงานของปอด แต่ถ้ามีอาการอะไร ก็มาก่อนวันนัดได้


ตอนนั้นดิฉันออกจากโรงพยาบาลอย่างเริงร่า ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะเป็นอะไรอีก เพราะหายใจได้เต็มปอดดี เสมหะก็หาย และไม่ไอด้วย


แต่เริงร่าได้ไม่ถึงเดือน ยังไม่ทันถึงวันที่หมอนัดเลย ดิฉันก็ต้องแจ้นไปโรงพยาบาลกลางดึก ด้วยอาการเหมือนคราวที่แล้วเป๊ะ คือไอหนักมากจนกลายเป็นหอบหายใจถี่ๆ


เมื่อไปถึงโรงพยาบาล ก็ต้องไปพ่นยาขยายหลอดลม แบบที่เคยทำเมื่อคราวที่แล้วตอนมาหาหมอ


การพ่นยานี้ จะเรียกว่าเป็นการ 'ช่วยชีวิต' หรือ 'กู้ชีพ' ก็น่าจะได้ เพราะคราวที่แล้วที่ดิฉันหอบจนตัวเขียวนั้น ดิฉันก็ต้องไปพ่นยาก่อนเพื่อให้สามารถหายใจได้ จากนั้นจึงค่อยไปตรวจปอดตรวจเลือดอะไรต่างๆ


แต่พอดีตอนนั้นดิฉันมึนขั้นสุดเพราะออกซิเจนในเลือดเหลือน้อยเต็มที ก็เลยจำไม่ได้ว่าเขาพ่นยากันยังไง เพิ่งมารู้หลังจากแอดมิต เพราะต้องพ่นยาทุกวันเช้าเย็น


ที่เรียกว่า 'พ่นยา' นี้ ดิฉันอยากเรียกว่า 'รมยา' มากกว่า เพราะเราต้องใส่หน้ากากครอบปากครอบจมูก ต่อสายท่อเข้ากับเครื่องที่จะเปลี่ยนยาน้ำให้กลายเป็นละอองฝอยๆ พ่นออกมาเต็มหน้ากากให้เราหายใจเข้าไป ละอองน้ำนี้ละเอียดมากจนเกือบเป็นไอน้ำ มองเผินๆ เหมือนใบหน้าเรากำลังถูกรมควันไม่มีผิด


หลังจากนั่งรมอยู่อย่างนั้นจนยาหมดขวด ใช้เวลาประมาณ 15 นาที เราจะหายใจได้เป็นปกติมากขึ้น พยาบาลก็จะพาเราไปนอนพัก รอหมอมาตรวจประเมิน ถ้าหมออนุมัติให้กลับถึงจะกลับบ้านได้


คืนวันนั้นที่ดิฉันต้องไปพ่นยากลางดึก กว่าจะได้กลับก็เกือบ 6 โมงเช้า งานการไม่ไปทำแล้วค่ะ กลับบ้านนอน


เมื่อถึงวันที่หมอนัดตรวจติดตาม ดิฉันก็ไปตามนัด และได้ทราบข่าวช็อกโลกอีกเรื่องหนึ่งจนได้


นั่นก็คือ ดิฉันกลายเป็นผู้ป่วยโรคหอบหืดไปเสียแล้ว


คุณหมออธิบายจนดิฉันเห็นเส้นทางการเป็นหอบหืดของตัวเองได้อย่างชัดเจน


เริ่มจากเป็นหวัดบ่อย ทำให้มีเสมหะเยอะ


แล้วเสมหะก็ติดเชื้อ กลายเป็นหลอดลมอักเสบ


ก็เลยมีอาการไอเรื้อรัง แล้วลุกลามเป็นไซนัสอักเสบ


ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาที่ระบบทางเดินหายใจส่วนบน ซึ่งแม้จะไม่อันตรายถึงชีวิต แต่ก็บั่นทอนภูมิคุ้มกันไปมาก


ในช่วงที่ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอระบาด ดิฉันจึงติดเชื้อ และเกิดปัญหาที่ระบบทางเดินหายใจส่วนล่างในที่สุด เพราะโรคนี้ทำให้ปอดอ่อนแอลง ได้รับเชื้ออะไรนิดหน่อยก็ลงปอด กลายเป็นโรคปอดบวม


โรคปอดบวมนั้น แม้เมื่อรักษาหายแล้ว ปอดก็ไม่สามารถกลับมาแข็งแรงได้อีก พอเจอสิ่งเร้าใดๆ หลอดลมจะหดเกร็งทันที ปอดก็จะทำงานได้น้อยลง จนกระทั่งหายใจหอบถี่


สุดท้ายก็กลายเป็นโรคหอบหืด ซึ่งไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ส่วนใหญ่ถ้าเป็นแล้วก็ต้องเป็นตลอดชีวิต


ดังนั้นจึงต้องระวังพวกสิ่งเร้าต่างๆ และพกยาพ่นขยายหลอดลมติดตัวไว้ตลอดเวลา


ขณะที่นั่งฟังหมอ ดิฉันรู้สึกเหมือนตัวเองถอยห่างออกไปจากตรงนั้น กลายเป็นคนนอกที่มองดูชีวิตของคนอื่นอยู่ เหมือนกำลังดูทีวี เห็นภาพตัวละคร ซึ่งก็คือตัวเอง หายใจหอบฮั่กๆ ควานหากระบอกยาพ่นมาพ่นใส่ปาก ก่อนที่หลอดลมจะตีบจนขาดใจตาย


จากโรคธรรมดาที่เป็นจนชินอย่างโรคหวัด กลายเป็นโรคที่อาจทำให้ตายได้เพียงเสี้ยววินาทีที่พ่นยาไม่ทัน


'ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร' มันเป็นแบบนี้นี่เอ๊ง!!


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

bottom of page