ภาค 2 ตอนที่ 8 “อย่าเลิกเลยนะคะ”
- 18naturalmind
- 7 พ.ค.
- ยาว 1 นาที
Qigong and I The Series โดย : ป่าน

ดิฉันใช้ชีวิตเป็นผู้ป่วยหอบหืดขั้นวิกฤติ มีโรงพยาบาลเป็นสถานที่เที่ยวเล่นแบบนั้นอยู่ประมาณ 3 เดือน ในขณะที่งานก็หนักมาก เพราะตอนนั้นออฟฟิศดิฉันเพิ่งเปลี่ยนระบบงานได้ไม่ถึงปี ทุกอย่างโกลาหล ทุกคนระส่ำระสาย ภาระเลยมาตกบนหัวกบาลดิฉันเต็มๆ
จนกระทั่งเดือนสิงหาคม 2560 เมื่ออะไรต่างๆ เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น ดิฉันก็พอจะได้หยุดพักบ้างช่วงเช้าวันเสาร์ จึงได้กลับมาเรียนชี่กงที่สวนลุมพินี แต่จะนับว่าเป็นการเรียนที่จริงจังต่อเนื่องก็ยังไม่ได้ เพราะดิฉันมาเรียนได้เฉพาะบางเสาร์ที่ไม่ติดงานเท่านั้น เฉลี่ยแล้วตกเดือนละครั้งสองครั้งเท่านั้นเอง
แม้กระนั้น ดิฉันก็พยายามฝึกชี่กงที่บ้าน เท่าที่จะหาเวลาได้ ซึ่งก็ไม่ได้ต่อเนื่องอะไรนัก อาทิตย์หนึ่งก็ได้ฝึกสักสามสี่วัน วันละครึ่งชั่วโมงบ้าง 45 นาทีบ้าง โดยฝึกวิชาชำระไขกระดูกกับดรรชนีพลังเซนเป็นหลัก และฝึกไท้เก๊กบ้างประปราย
แต่ก็น่าอัศจรรย์มาก ทั้งๆ ที่เรียนและฝึกได้กระท่อนกระแท่นขนาดนี้ ตลอดช่วงปลายปี 2560 ดิฉันก็ไม่ต้องถ่อร่างไปโรงพยาบาลกลางดึกอีกเลย เพราะพอเริ่มมีเสียงที่ปอด พ่นยารอบสองรอบก็หาย นอนหลับต่อสบายใจ
ขึ้นปีใหม่ 2561 อาการหอบกลางดึกของดิฉันก็หายเป็นปลิดทิ้ง ไม่ได้ใช้ยาพ่นเลยเป็นเวลา 3 เดือน จนยาแห้งคากระบอก
ดิฉันไม่มีอาการหอบอีกเลย จนถึงกลางปี 2561 วันที่คุณหมอนัดไปตรวจติดตามโรคหอบหืด ดังที่นัดเป็นประจำทุกเดือน
คุณหมอบอกว่า ปอดดิฉันปกติมาก และดิฉันไม่มีอาการหอบมา 6 เดือนแล้ว ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า
“คุณไม่เป็นโรคหอบหืดแล้วนะครับ หายเป็นปกติ ดังนั้นหมอจะไม่นัดต่อแล้วนะ ถ้ามีปัญหาอะไรก็ค่อยมา”
คุณหมอยิ้มแก้มแทบแตก แลดูดีใจยิ่งกว่าดิฉัน 10 เท่า เหตุที่ดิฉันมั่นใจว่าคุณหมอดีใจ ก็เพราะหลังจากนั้น ขณะดิฉันกำลังนั่งรอจ่ายเงินอยู่ตรงแผนกการเงิน พยาบาลได้เข้ามาบอกดิฉันว่า “คุณหมอให้มาแจ้งว่าไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ คนไข้กลับได้เลย”
ดิฉันงงงันจนต้องถามแล้วถามอีกว่าใช่แน่เหรอ เพราะที่นั่นคือโรงพยาบาลเอกชน ต่อให้ไม่ได้ตรวจอะไรเลยก็ต้องมีค่าหมอค่าพยาบาลตามปกติ และถึงคุณหมอจะไม่คิดค่าแรงของตัวเอง แต่ก็ต้องมีค่าบริการของพยาบาลอยู่ดี
พอถามถึงข้อนี้ พยาบาลก็ตอบว่า “คุณหมอบอกว่าจะจัดการเองค่ะ”
ดิฉันเดินออกจากโรงพยาบาลนั้นเหมือนบินออกมา นึกถึงวันที่คุณหมอบอกว่าดิฉันเป็นหอบหืด และอาจจะต้องเป็นตลอดชีวิต คุณหมอคงไม่คาดคิดว่าจะได้ปิดเคสดิฉันหลังจากผ่านไปแค่ปีเดียว
เวลาผ่านไป ถึงเดือนกันยายน 2561 อ.สุรศักดิ์ก็บอกว่า ตอนนี้มีคลาสชี่กงช่วงเย็นวันเสาร์แล้ว เรียนที่โรงแรมเดอะทวินทาวเวอร์ส เวลา 18.30 - 20.30 น. ถ้าดิฉันไม่สะดวกไปเรียนเช้าวันเสาร์ ก็ย้ายมาเรียนคลาสนี้ได้
แน่นอนว่า ดิฉันย้ายทันที ก็เลยได้เรียนชี่กงสม่ำเสมอต่อเนื่องมากขึ้น และไม่หยุดเรียนอีกเลยจวบจนปัจจุบัน
ตลอดเส้นทางการ ‘คัมแบ็ค’ อย่างเต็มตัวของดิฉัน ตั้งแต่กลางปี 2561 จนถึงขณะนี้ คือกลางปี 2565 มีเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่เรียนชี่กงด้วยกันจำนวนไม่น้อย ที่ท้อแท้อยากเลิกเรียนด้วยเหตุผลต่างๆ
ดิฉันมักจะบอกเขาว่า “อย่าเลิกเลยนะคะ ป่านเคยเลิกไปช่วงนึง งอมเลย เกือบตายตั้งหลายรอบค่ะ”
ทุกครั้งที่พูดแบบนี้ ส่วนใหญ่คนฟังจะคิดว่าดิฉันเว่อร์ และดิฉันเองก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสเล่า ‘มหากาพย์โรคระบบทางเดินหายใจ’ ของตัวเองให้ใครฟังนัก แม้กระทั่ง อ.สุรศักดิ์ กับ อ.ปุ่น ดิฉันก็ยังไม่เคยเล่าให้ฟังเลย เพราะมันยาว ฮ่าๆๆ ดังนั้นก็คงมีหลายคนแหละ ที่คิดว่าดิฉันโฆษณาเกินจริง
อย่างน้อยตอนนี้ ทุกท่านที่ได้ติดตาม Qigong and I The Series ภาค 2 มาตั้งแต่ต้น ก็คงเป็นพยานได้แล้วล่ะว่าดิฉันไม่ได้เว่อร์เลย ภายในระยะเวลาปีเดียว ดิฉันเกือบตายมานับครั้งไม่ถ้วน ถ้าไปโรงพยาบาลไม่ทันก็คงได้ไปวัดแทนแล้ว
โชคดีที่ว่า บ้านดิฉันอยู่ใกล้โรงพยาบาลมาก แบบนั่งมอเตอร์ไซค์ 3 นาทีถึง ก็เลยได้มีโอกาสใช้ประโยชน์จากการแพทย์แผนปัจจุบันอย่างเต็มที่ ทั้งเรื่องการช่วยชีวิตอย่างรวดเร็วในระยะวิกฤติ และการรักษาโรคที่หาสาเหตุได้ชัดเจน
แต่ดิฉันก็ไม่อยากหวังพึ่งแค่ ‘การช่วยชีวิตอย่างทันท่วงที’ กับ ‘การรักษา’ จากหมอพยาบาลตลอดไป เพราะถ้าเหตุปัจจัยเปลี่ยน เช่น ไปโรงพยาบาลไม่ทัน ไปเจอหมอพยาบาลที่ไม่เก่ง หรือไม่มีเงินพอที่จะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลดีๆ แทนที่โรคจะหาย ดิฉันคงหายไปจากโลกแทน
ดิฉันก็เลยคิดว่า ในเมื่อเรามีอำนาจอยู่ในมือ ที่จะ ‘บำบัด’ และ ‘พัฒนา’ ตัวเอง จนกระทั่งสามารถ ‘ป้องกัน’ ไม่ให้ตัวเองเป็นโรคได้ แล้วทำไมเราจะไม่ทำล่ะ
แต่เรื่องแบบนี้ ก็ดังที่เคยเล่าไว้ในซีรีส์ภาค 1 นั่นแหละ เป็นเรื่องเฉพาะบุคคลจริงๆ ว่าใครจะให้คุณค่ากับอะไร ให้ความสำคัญกับสิ่งไหน
อย่างเรื่องเรียนชี่กง ดิฉันเคยถามเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่จะเลิกเรียนว่า ถ้าเลิกเรียนแล้วจะฝึกต่อเองหรือเปล่า บางคนก็บอกว่าฝึก บางคนก็บอกว่าเลิกไปเลย ไม่ทำอะไรต่อแล้ว
ดิฉันก็รู้สึกว่าเสียดายแทน เพราะสำหรับดิฉัน ถ้าวันหนึ่งตัดสินใจเลิกไปเลย ก็คงไม่มีการออกกำลังกายแบบใดที่ทดแทนชี่กงได้หรอก และถ้าจะฝึกเองต่อโดยเลิกเรียนไป ก็ยังนึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะพัฒนายังไงหากปราศจากการชี้แนะของอาจารย์
ยิ่งถ้าปอดพิการแบบตอนนั้นน่ะเหรอ เจอฝุ่น PM 2.5 กับเชื้อโควิดตอนนี้ ไม่มีทางรอดแน่นอน
มีเงินเท่าไหร่ก็คงหมดไปกับการรักษาตัว บางทีมีเงินก็ยังไม่ได้รักษาเลย หรือบางทีรักษาไม่ได้อีกต่างหาก สู้เอาเงินไปลงทุนกับการพัฒนาตัวเองเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคดีกว่า จะประหยัดค่ารักษาไปได้หลายเท่า
และที่ประหยัดได้มากที่สุดคือเวลา เวลาดีๆ ในชีวิตที่ต้องสูญเสียไปเพราะเราป่วย
ก็ขนาดโรคที่แสนธรรมดาอย่างโรคหวัด ยังเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ดิฉันเสียเวลาและเงินทองไปตั้งมากมาย (และทำให้ทุกท่านต้องเสียเวลาอ่านมาตั้ง 8 Ep. ด้วย ฮ่าๆๆ)
โชคดีจริงๆ ที่ดิฉันไม่เป็นหวัดอีกเลย นับตั้งแต่กลับมาเรียนชี่กงเมื่อเดือนสิงหาคม 2560 นั่นแหละ จนทุกวันนี้เมื่อคิดถึงตอนที่เป็นหวัดงอมแงม ก็กลายเป็นความทรงจำอันเลือนรางไปเสียแล้ว
(โปรดติดตามตอนต่อไป)