top of page

ภาค 1 ตอนที่ 19 “โรคที่รักษาไม่ได้ : Part VI”

  • 18naturalmind
  • 15 ก.พ.
  • ยาว 1 นาที

อัปเดตเมื่อ 27 เม.ย.

Qigong and I The Series โดย : ป่าน


ท่านที่ติดตามซีรีส์นี้มาตั้งแต่ Ep.แรก คงจะพอจำได้ถึงจุดเริ่มต้นที่ดิฉันมาเข้าเรียนชี่กง คือตอนนั้นดิฉันป่วยเป็นโรคที่หมอบอกว่ารักษาไม่ได้อยู่ 2 โรค ซึ่งทีแรกก็เป็นโรคเดียวก่อน แต่รักษาไปรักษามา เกิดผลข้างเคียงทำให้เป็นโรคที่ 2 ตามมา


สำหรับโรคแรก คือ ‘เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่’ นั้น ดิฉันได้เล่าไว้ใน Ep.14-18 ตั้งแต่เริ่มมีอาการ จนกระทั่งกว่าจะตรวจเจอว่าคือโรคอะไรก็สิ้นเวลาไปเป็นปี แถมยังมีโรคแถมคือกรดไหลย้อนและภาวะวัยทองฉับพลันด้วย เรื่องราวทั้งหมดยาวนานเป็นมหากาพย์จนแบ่งได้ถึง 5 Part ราวกับหนัง Harry Potter ก็ไม่ปาน


จนมาถึง Part ที่ 6 ใน Ep.นี้ ดิฉันก็จะเฉลยสักทีว่า ‘โรคที่รักษาไม่ได้’ โรคที่ 2 คือโรคอะไร


เรื่องของเรื่องก็คือ ผ่านไปเกือบปีหลังจากที่เข้ารับการรักษาด้วยการฉีดยาระงับการตกไข่ ดิฉันก็เริ่มมีอาการผิดปกติอีกอย่างหนึ่ง คืออยู่ดีๆ ก็ปวดหัวมาก โดยไม่ทราบสาเหตุ


ลักษณะการปวดก็คือ เริ่มปวดจากจุดเดียวก่อน แล้วจุดนั้นจะแผ่ขยายออกไปเป็นริ้วๆ รอบทิศทาง โดยจุดแรกเริ่มนั้นไม่ใช่จุดเดิมซ้ำๆ แต่จะเปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อยๆ เป็นต้นว่า ตอนเช้าปวดด้านขวา ตอนบ่ายปวดด้านซ้าย ตอนเย็นปวดท้ายทอย สรุปแล้วทุกจุดของหัวเคยปวดมาแล้วทั้งสิ้น


ในเมื่อความดันดิฉันปกติ และไม่มีอาการอื่นใดที่บ่งบอกถึงการแตก หรือตีบ หรือตัน ของเส้นเลือดในสมอง หมอก็เลยสันนิษฐานว่าดิฉันเป็นไมเกรน และให้ยาแก้ปวดมากิน


ดิฉันกินยาตามหมอสั่งจนครบ แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น ยังคงปวดหัวทุกวัน จนสุดท้ายก็ต้องใช้ชีวิตและทำงานทั้งๆ ที่ปวดหัวอยู่อย่างนั้น คือมึงจะปวดก็ปวดไปนะหัว กูจะทำงานละ ประมาณนี้เลย ไม่รู้เหมือนกันว่าผ่านชีวิตช่วงนั้นมาได้ยังไง


ในที่สุด หมอก็เลยให้ดิฉันไปตรวจเลือด


ผลเลือดระบุว่า ฮอร์โมนชนิดหนึ่งของดิฉันผิดปกติขั้นวิกฤติ


ฮอร์โมนนั้นก็คือ ‘โปรแลคติน’ ซึ่งในภาวะปกติไม่ควรจะมีเกิน 25 นาโนกรัมต่อมิลลิลิตร แต่ของดิฉันปาเข้าไปเกือบ 250 คือมากกว่าค่าปกติถึง 10 เท่า


ในเมื่อโปรแลคตินเป็นฮอร์โมนที่ผลิตออกมาจากต่อมใต้สมอง หมอจึงสั่งการให้ดิฉันไปทำ MRI ดูต่อมใต้สมองทันที


ในการทำ MRI (Magnetic Resonance Imaging) หรือการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านั้น มักจะเรียกกันเล่นๆ ว่า ‘เข้าอุโมงค์’ เพราะเราจะต้องนอนหงายบนแท่น แล้วแท่นจะค่อยๆ เคลื่อนเข้าไปในตัวเครื่องซึ่งมีลักษณะเป็นท่อยาวๆ เหมือนกับว่าเรานอนอยู่ในอุโมงค์จริงๆ


การนอนนั้น เราจะต้องนอนให้นิ่งที่สุด เพื่อให้ได้ผลตรวจที่เที่ยงตรงที่สุด ดังนั้นในการตรวจ MRI สมอง จึงต้องใส่เครื่องล็อกหัว ซึ่งดิฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมยิ่งใส่ยิ่งอยากขยับหัว คงเป็นเพราะมันค่อนข้างจะอึดอัดพอควรเลยแหละ


ดิฉันไม่เคยตรวจ MRI มาก่อน พอหมอบอกว่าจะต้องนอนนิ่งๆ อยู่ในเครื่องนั้น 40 นาที ดิฉันก็กะว่าจะนอนหลับซะเลย ถือว่าพักผ่อนไปในตัว แม้หมอจะบอกว่า “จะมีเสียงดังนิดนึงนะคะ เป็นเสียงของเครื่อง ไม่ต้องตกใจ” ดิฉันก็ยังคิดว่ามันจะสักแค่ไหนกันเชียว กะอิแค่เสียงดังนิดหน่อย ไม่สามารถขัดขวางการนอนของฉันได้หรอก


ปรากฏ ความฝันพังทลาย เพราะเสียงเครื่องมันดังม้ากกกกกก เซ็นเซอราวด์รอบทิศทางอึกทึกครึกโครมอยู่รอบหัว จนแทบจะเป็นโรคประสาทเพิ่มขึ้นอีกโรคหนึ่ง รอดมาได้เพราะจินตนาการล้วนๆ คือมโนว่ากำลังขึ้นยานอวกาศกลับดาวแม่ มิฉะนั้นคงได้ลุกขึ้นถีบเครื่องกระจุย


ผลตรวจออกมา ชัดเจนว่าดิฉันมีเนื้องอกที่ต่อมใต้สมอง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้มันผลิตฮอร์โมนโปรแลคตินมากเกินไป


หมออธิบายว่า เนื่องจากดิฉันรักษาโรคเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ด้วยการฉีดยาระงับการตกไข่ ฮอร์โมนโปรแลคตินของดิฉันก็เลยตกวูบ ต่อมใต้สมองจึงเร่งผลิตฮอร์โมนออกมาทดแทน ด้วยความที่เร่งมากเกินไปมันก็เลยแบ่งเซลล์เกินขึ้นมา กลายเป็นเนื้องอก พอเป็นเนื้องอกมันก็ยิ่งผลิตฮอร์โมนมากขึ้นไปใหญ่


หมอบอกว่า ไม่ต้องตกใจ เพราะเนื้องอกดิฉันขนาดไม่โตมาก จึงไม่ต้องผ่าตัด และส่วนใหญ่คนที่เป็นโรคนี้หมอก็ไม่ค่อยผ่าให้ เพราะจุดที่เป็นนั้นอยู่ใกล้เส้นประสาทตา พลาดนิดเดียวอาจจะตาบอด ดังนั้นวิธีที่ทำได้คือกินยาเพื่อลดการหลั่งฮอร์โมนโปรแลคติน เมื่อหลั่งฮอร์โมนน้อยลง เนื้องอกที่ต่อมใต้สมองก็อาจจะยุบลงได้


ดิฉันถามหมอว่า ตกลงวิธีรักษาคือกินยาใช่ไหม


หมอตอบว่า จะเรียกวิธีรักษาก็ไม่เชิง เพราะที่จริงโรคนี้เป็นโรคที่รักษาให้หายขาดไม่ค่อยได้ เรียกว่ากินยาเพื่อควบคุมจะดีกว่า แต่ไม่ต้องกังวล เพราะคนที่เป็นโรคเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ก็เป็นโรคนี้กันทั้งนั้น ก็ต้องรักษา 2 โรคพร้อมกันไป


ดิฉันฟังหมออธิบายทุกอย่างโดยดุษณี คิดในใจว่า…ไม่ให้กังวล กุไม่กังวลก็ได้ แต่กุควรรู้สึกยังไงเหรอ ควรดีใจที่ได้โรคมาอีกโรคนึงงี้???


ดิฉันได้อ่านคอมเมนต์ที่เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ มาเขียนให้กำลังใจในซีรีส์ หลายๆ ท่านชื่นชมว่าดิฉันเป็นคนอดทนมาก อ่านแล้วปลื้มมากเลย แต่ต่อให้เป็นคนที่อดทนที่สุดในโลก ดิฉันก็เชื่อว่าต้องมีจุดที่เป็น ‘ฟางเส้นสุดท้าย’ ที่ทำให้เราตัดสินใจได้ว่า จะไม่ทนอีกต่อไป


ฟางเส้นสุดท้ายของดิฉันก็คือ คำอุทานด้วยความเห็นใจของอาจารย์หมอแผนกนรีเวช เมื่อทราบผลการวินิจฉัยของคุณหมอแผนกประสาทศัลยศาสตร์


อาจารย์หมอกล่าวแก่ดิฉันว่า “เธอนี่ช่างโชคร้ายจริงๆ”


คำกล่าวนี้กลายเป็นฟางเส้นสุดท้าย เพราะมันแสดงให้เห็นว่า ที่ดิฉันต้องเป็นแบบนี้ ก็เพราะความโชคร้ายของดิฉันเอง หมอคงช่วยอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ นอกจากเห็นใจ


เคยดูรายการทีวีญี่ปุ่น เขาไปสัมภาษณ์ผู้ป่วยโรคร้ายที่ไม่มีทางรักษา ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า


“อาการป่วยไม่ได้เจ็บปวดเท่าความรู้สึกที่ว่าเราทำอะไรไม่ได้เลย”


ประโยคนี้ราวกับตีแผ่ความรู้สึกของดิฉันออกมา


เพราะอาการป่วยต่อให้หนักแค่ไหน ดิฉันเชื่อว่าผู้ป่วยทุกคนทนได้ ตราบใดที่มีความหวังว่าเราจะหายได้ถ้าปฏิบัติตามที่หมอสั่งอย่างเคร่งครัด


แต่ถ้าเป็นตรงข้าม คือต่อให้พยายามแค่ไหนก็ไม่มีหวังที่จะหาย แถมยังมีโรคอื่นๆ เพิ่มขึ้นมาอีกแล้วล่ะก็


นั่นแหละคือความรู้สึกที่ว่า “เราทำอะไรไม่ได้เลย”


ความพยายามของเราเป็นสิ่งที่ไร้ค่า


ชีวิตเราก็ไร้ค่า เกิดมาทั้งทีก็มีแต่โรคภัยไข้เจ็บ เวลาของชีวิตหมดไปกับการเจ็บป่วยและการรักษา แล้วอีกไม่นานเราก็จะตาย


ความเจ็บปวดทางใจแบบนี้ต่างหาก ที่ฆ่าเราได้ยิ่งกว่าความเจ็บป่วยทางกายมากมายนัก


(โปรดติดตามตอนต่อไป)



บันทึก อ.สุรศักดิ์


ในโลกยุคปัจจุบัน เมื่อเจ็บป่วย เรามักจะคิดว่า หมอคือผู้ที่จะทำหน้าที่บำบัดรักษาเรา


ในความเป็นจริงแล้ว “กาย และ จิต” ของเราต่างหากที่ทำหน้าที่บำบัดฟื้นฟู โดยที่หมอทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเท่านั้น


ดังเช่น เมื่อกระดูกแขนขาหัก หมออาจช่วยดามแขน ช่วยเข้าเฝือกให้ แต่การประสานซ่อมแซมที่แท้จริงนั้น คือกลไกตามธรรมชาติภายในร่างกาย


 โรคติดเชื้อต่างๆ ก็เช่นกัน สิ่งที่ทำหน้าที่จัดการเชื้อโรคเป็นหลัก ก็คือ ระบบภูมิคุ้มกัน ของเราเอง


หากรู้และมีทักษะในการเข้าถึง “กุญแจ” ที่จะเปิดศักยภาพของ “กาย” และ “จิต” ภายในได้


“ในชีวิตของเรา..ไม่มีคำว่าโชคร้าย”


“ในโลกนี้ ไม่มีโรคใดรักษาไม่ได้”

bottom of page