ภาค 1 ตอนที่ 20 “จุดเปลี่ยน”
- 18naturalmind
- 19 ก.พ.
- ยาว 1 นาที
อัปเดตเมื่อ 27 เม.ย.
Qigong and I The Series โดย : ป่าน

‘สรรพสิ่งเมื่อถึงที่สุดย่อมเปลี่ยนแปลง’
นี่คือสัจธรรมที่ อ.สุรศักดิ์ สอนพวกเรานักเรียนชี่กงเสมอ แน่นอนว่าก่อนมาเรียนดิฉันไม่เคยมีคอนเส็ปต์นี้อยู่ในหัวเลย เพียงแค่รู้สึกว่าชีวิตตัวเองตกต่ำถึงขีดสุดแล้ว แถมยังไม่มีหวังด้วยว่าจะดีขึ้นได้อย่างไร
แต่ในเมื่อตอนนั้นดิฉันรับปากเพื่อนไว้แล้ว ว่าจะไปช่วยถ่ายรูปและถ่ายวิดีโอการเสวนาเรื่องชี่กงในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ดิฉันจะเทเพราะความเซ็งชีวิตก็กระไรอยู่
ดิฉันจึงแบกสังขารไปตามนัด โดยที่ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่า หลังจากเสร็จงานเสวนา จะได้เข้าไปฝากตัวเป็นศิษย์ อ.สุรศักดิ์ แล้วก็กลายเป็นนักเรียนชี่กงอย่างเต็มตัว
ทุกเช้าวันเสาร์ ดิฉันจะไปเรียนชี่กงที่สวนลุมพินี และยังตื่นมาฝึกชี่กงทุกวัน วันละ 1 ชั่วโมง ตั้งแต่ตี 5 ถึง 6 โมงเช้าด้วย ระหว่างนั้นก็ยังคงรับการรักษาโรคเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ โดยการฉีดยาระงับการตกไข่เช่นเดิม
ส่วนโรคเนื้องอกที่ต่อมใต้สมอง ซึ่งหมอบอกว่าควบคุมได้ด้วยการกินยานั้น ยาดังกล่าวเป็นยาที่มีผลข้างเคียงอยู่ แต่ก็จำเป็นต้องกิน เพราะถ้าไม่กินก็เสี่ยงที่เนื้องอกจะโตขึ้น จนไปกดทับเส้นประสาทตา ทำให้ตาบอดได้
ผลข้างเคียงของยาดังกล่าว ที่พบมากที่สุดคือ จะมีอาการมึนๆ อึนๆ เหมือนคนโดนน็อกตลอดทั้งวัน หมอบอกว่าถ้ามึนมากก็นอนนะ อย่าไปฝืนทำงานทำการอะไรมาก แต่อยากให้ลองกินยาแบบเต็มที่ไปก่อน คือกินวันละ 2 เม็ด เช้า 1 เม็ด ก่อนนอน 1 เม็ด แล้วถ้าไม่ไหวค่อยมาปรับลดยากัน
ช่วงที่เริ่มกินยานั้น เป็นช่วงเดียวกับที่ดิฉันเริ่มเรียนชี่กงพอดี ปรากฏว่าตั้งแต่กินยาครั้งแรกจนกระทั่งบัดนี้ 7 ปีแล้ว ยังไม่เคยสัมผัสความอึนความมึนแม้แต่ครั้งเดียว
ดิฉันรู้สึกปกติและสบายดี จนหมอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ สั่งให้กินยาตามโดสเดิมต่อไป คือวันละ 2 เม็ด ซึ่งจัดว่าเป็นโดสที่อลังการทีเดียว เพราะจากที่ดิฉันได้ไปสอบถามเพื่อนฝูงที่เป็นโรคนี้ ไม่มีใครกินยาได้มากเท่าดิฉันสักคน มีคนหนึ่งกินได้มากสุดวันละเศษ 1 ส่วน 4 เม็ดเท่านั้น วันๆ ต้องนั่งผ่ายาเป็น 4 ส่วน ยาก็เม็ดเล็ก ผ่าก็ลำบาก นางบอกว่าขนาดกินแค่วันละเสี้ยวยังมึนแทบตาย ก็เลยกินได้แค่ตอนก่อนนอนเท่านั้น ก่อนหน้านี้เคยกินตอนเช้าแล้วไม่ไหว ทำงานทำการอะไรไม่ได้เลย
ก็เป็นอันว่า ดิฉันก็รอดจากผลข้างเคียงในข้อนี้มาได้โดยสวัสดิภาพ ผ่านไป 6 เดือน เจาะเลือดตรวจไป 2 ครั้ง ก็พบว่าฮอร์โมนโปรแลคตินลดลงจนเป็นปกติ
อ.สุรศักดิ์ ติดตามความก้าวหน้าในการรักษาของดิฉันด้วยความยินดี แต่อาจารย์ก็ให้แง่คิดว่า ถ้ายังต้องรักษาด้วยการแพทย์แผนปัจจุบันอยู่ ก็น่าจะลองปรึกษาแพทย์ที่โรงพยาบาลอื่นด้วย จะได้มี Second Opinion หรือความเห็นที่สอง เพื่อนำมาประกอบกัน
ระหว่างที่ดิฉันกำลังคิดอยู่ว่าจะลองไปโรงพยาบาลไหนดี ก็พอดีประจวบเหมาะได้คุยกับพี่ที่ทำงาน ซึ่งเพิ่งผ่าตัดมดลูกกับอาจารย์หมอท่านหนึ่ง พี่แกก็เลยแนะนำให้ดิฉันไปพบอาจารย์หมอท่านนั้น ในเวลาประจวบเหมาะกับที่โรงพยาบาลเดิมแจ้งดิฉันพอดีว่า อาการดิฉันไม่มีอะไรน่ากังวลแล้ว ทั้งโรคเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่และเนื้องอกที่ต่อมใต้สมอง ดังนั้นต่อไปนี้แค่มาฉีดยาและรับยาไปกินก็พอ ไม่จำเป็นต้องพบแพทย์
หลังจากได้พบอาจารย์หมอที่โรงพยาบาลใหม่ ได้ผ่านการตรวจร่างกายอย่างละเอียด และอาจารย์หมอวินิจฉัยแล้วว่าควรจะต้องลดยาฉีดลง มิฉะนั้นจะโอเวอร์โดส ดิฉันก็ทำเรื่องย้ายโรงพยาบาล และได้เข้ารับการรักษาต่อเนื่องที่โรงพยาบาลใหม่มาจนปัจจุบัน
สำหรับโรคเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ ตอนนี้พูดได้เลยว่าเคลียร์หมดแล้ว หมอให้ยุติการรักษามาได้ 2 ปีกว่า เมื่อไม่ต้องฉีดยา ประจำเดือนก็มาตามปกติ เหลือแค่ตรวจภายในปีละครั้งเหมือนคนปกติทั่วไป
ส่วนโรคเนื้องอกที่ต่อมใต้สมอง เมื่อตอนที่ย้ายโรงพยาบาล อาจารย์หมอแผนกประสาทศัลยศาสตร์ที่โรงพยาบาลใหม่ให้ดิฉันตรวจ MRI ใหม่ด้วย ผลตรวจออกมาว่า เนื้องอกมีขนาดเท่าเดิม แต่ไม่แอคทีฟ แสดงว่ากินยาโดสเดิมคุมได้แน่นอน
ตอนนี้ดิฉันก็เลยเหลือแค่กินยาทุกวัน ไปตรวจติดตาม 6 เดือนครั้งตามที่หมอนัด และเจาะเลือดดูฮอร์โมนโปรแลคตินปีละครั้ง
เวลาตรวจติดตามโรคนี้ คุณหมอจะดู 2 อย่าง คือผลข้างเคียงของยา กับอาการของโรค
ในเรื่องผลข้างเคียงของยา หลักๆ ก็มี 2 ส่วน ส่วนหนึ่งคือเรื่องความมึนความอึน ซึ่งดิฉันไม่มีเลย อีกส่วนคือเรื่องน้ำหนักตัว อันเนื่องมาจากว่า ระบบเผาผลาญของร่างกายจะทำงานน้อยลง คนที่กินยานี้ก็เลยมักจะอ้วนพีขึ้นเรื่อยๆ และส่วนใหญ่ก็จะกลายเป็นคนอ้วนไป
อย่างเพื่อนดิฉันคนที่เล่าให้ฟังข้างต้น ขนาดกินยาได้แค่วันละเสี้ยว นางยังอ้วนขึ้นกว่าสมัยเรียนตั้งเยอะ แล้วดิฉันกินยาเยอะกว่านาง 8 เท่า มีหรือจะรอด
แม้กระนั้น หมอก็ยังปรารภว่าดิฉันไม่เห็นจะอ้วนเท่าไหร่เลย เพราะกินยาโดสนี้มาหลายปี ปกติต้องตัวใหญ่มหึมาแล้ว แต่นี่แค่อ้วนระดับ 1 ต้นๆ เท่านั้นเอง (หมออาจคิดในใจว่า อ้วนขึ้นมาแค่นี้ มึงควรดีใจ ฮ่าๆๆ)
ส่วนในเรื่องอาการของโรค คุณหมอจะดู 2 อย่าง อย่างหนึ่งคือดูฮอร์โมนโปรแลคตินจากการตรวจเลือดและอาการข้างเคียงอื่นๆ เช่น ปวดหัว ซึ่งตั้งแต่ตอนที่ปวดโดยหาสาเหตุไม่ได้คราวนั้น หัวดิฉันก็สบายดีมาโดยตลอด ส่วนผลเลือด พอผลออกทีไร คุณหมอก็ร้อง “เย่!” แล้วทำท่ากำชัยชนะอย่างสะใจในแนวอ๊ปป้าเกาหลีทีนั้น
อย่างที่สองที่คุณหมอจะต้องดู ก็คือความแม่นยำของสายตา คุณหมอจะมีวิธีทดสอบต่างๆ ซึ่งดิฉันก็สอบผ่านฉลุยทุกครั้ง พูดแล้วจะหาว่าคุย ดิฉันเป็นโรคนี้มา 7 ปีแล้ว แต่ตาก็ยังไวพอควรนะ เวลาตรวจงานก็ยังโดนแซะอยู่ตลอดว่ามึงจะตาดีไปไหน ทำเป็นไม่เห็นจุดที่ผิดบ้างก็ได้ ฮ่าๆๆ
ทั้งหมดนี้ ดิฉันก็ไม่อยากจะคิดจินตนาการ ว่าถ้าไม่ได้ฝึกชี่กงควบคู่กันไปกับการรักษา ดิฉันจะเป็นยังไงบ้าง
ถ้าวันนั้นดิฉันหมดอาลัยตายอยากในชีวิต จนยอมเสียงานเสียการ เทงานเสวนาไป เพื่อนดิฉันก็คงไม่ว่าอะไรหรอก เพราะนางเข้าใจดีว่าดิฉันป่วย แต่ดิฉันก็จะไม่มีโอกาสได้ฟังเสวนาที่ทำให้ชีวิตดิฉันเปลี่ยนแปลงมาจนถึงทุกวันนี้
เราอาจไม่มีทางรู้ ว่าเมื่อไหร่จะถึง ‘จุดเปลี่ยน’ ที่ทำให้ชีวิตเราพลิกฟื้นดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
แต่ถ้าเราไม่ปิดกั้นโอกาสในการเรียนรู้ของตัวเอง ไม่โยนโอกาสดีๆ ที่จะได้เรียนรู้ทิ้งไป สักวันหนึ่งเมื่อมองย้อนกลับมา เราจะเห็นเองว่าเราได้ผ่าน ‘จุดเปลี่ยน’ นั้นมาแล้ว โชคดีเหลือเกินที่เราไม่ยอมแพ้ก่อนที่จะได้เจอมัน
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
บันทึก อ.สุรศักดิ์
ในตัวของพวกเราทุกคนมี “ขุมทรัพย์แห่งปัญญา” ซ่อนอยู่ ขอเพียงมีความตั้งใจ มีความเพียรพยายาม ก็จะมีโอกาสที่จะค้นพบ “กุญแจ” ที่จะเปิดคลังแห่งขุมทรัพย์นี้ออกมาได้