top of page

ภาค 1 ตอนที่ 22 “โจทย์อันท้าทาย”

  • 18naturalmind
  • 27 ก.พ.
  • ยาว 1 นาที

อัปเดตเมื่อ 27 เม.ย.

Qigong and I The Series โดย : ป่าน


ซีรีส์นี้ดำเนินมายาวนานข้ามปี หลายท่านอาจคิดว่าควรจะจบได้แล้ว ฮ่าๆ


แต่ดิฉันขออนุญาตแจ้งไว้ก่อนเลยว่า ยังไม่จบง่ายๆ ค่ะ ยังอีกยาวไกลมาก จนต้องแบ่งเป็น 2 ภาคเลยทีเดียว


ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านมาโดยตลอด หวังว่าท่านจะติดตามต่อเนื่องไปจนอวสานด้วยนะคะ (ไหว้ย่อ)


ขณะนี้ภาค 1 ก็ดำเนินมาจนถึงตอนสุดท้ายแล้ว ดิฉันก็เลยต้องไปไล่อ่านตั้งแต่ต้นว่าโปรยอะไรไว้โดยยังไม่ได้เก็บบ้าง โทษฐานที่โปรยไว้เยอะเกินจนตัวเองยังงง


หลังจากไล่อ่านก็พบว่า ส่วนใหญ่อะไรที่โปรยไว้ก็เก็บเกือบครบแล้วแหละ ยังขาดอยู่ 2 เรื่องที่ทิ้งไว้เป็นปริศนา


เรื่องหนึ่งคือ ตอนที่โดนโจมตีโดย ‘พลังงานลี้ลับ’ เรื่องนี้ อ.สุรศักดิ์ อนุญาตแล้วว่าให้ดิฉันเล่าได้ แต่ดูตามไทม์ไลน์แล้วมันจะต้องอยู่ภาค 2 ดังนั้นขอให้ทุกท่านอดใจรอสักหน่อย ดิฉันจะเล่าเรื่องนี้ในภาค 2 แน่นอน


อีกเรื่อง เป็นเรื่องที่ทิ้งท้ายไว้ใน Ep.4 ซึ่งเล่าถึงช่วงที่ดิฉันมาฝึกชี่กงใหม่ๆ ตอนนั้นดิฉันนอนดึกมาก แต่ต้องปรับเวลานอนเวลาตื่นของตัวเองใหม่หมด เพราะต้องตื่นมาฝึกชี่กงตอนตี 5 ทุกวันก่อนไปทำงาน


ในเมื่อสาเหตุที่ทำให้นอนดึกคืองานเยอะจนต้องหอบกลับมาทำที่บ้าน อาจารย์ก็เลยสั่งให้ดิฉัน “หาวิธีที่จะทำงานให้เสร็จเร็วขึ้น” คือให้แก้ที่ต้นเหตุนั่นเอง


แต่ทุกท่านที่เคยแก้ปัญหาอะไรบางอย่างก็คงจะเห็นพ้องกับดิฉันใช่ไหมคะว่า บางทีการแก้ที่ต้นเหตุมันก็ย้ากยาก แถมยังต้องใช้เวลานานด้วยกว่าจะแก้ได้สำเร็จ


ดิฉันก็เลยใช้วิธีขายผ้าเอาหน้ารอดไปก่อน โดยกำหนดเวลานอนไว้ไม่เกิน 5 ทุ่ม งานจะเสร็จหรือไม่เสร็จช่างมัน พอ 5 ทุ่มปุ๊บ นอนปั๊บ ก็ตื่นตี 5 มาฝึกได้ตามที่ตั้งใจ หลังจากฝึกเสร็จ อาบน้ำแต่งตัวเข้าออฟฟิศ ก็ค่อยทำงานต่อ


และแล้วดิฉันก็ได้ค้นพบว่า การทำงานต่อในตอนเช้าหลังจากฝึกชี่กงแล้ว จะเหมือนสมองได้รีเซ็ตใหม่หมด อะไรที่เราไม่เห็นเมื่อวานก็ได้เห็น อะไรที่ติดขัดอยู่แต่ไม่รู้จะแก้ยังไง ก็กลายเป็นเห็นทะลุปรุโปร่งขึ้นมา พอเห็นแล้วก็รู้ว่าจะต้องทำต่อยังไงบ้าง


ดังนั้น แม้จะไม่ต้องพยายามปั่นงานให้เสร็จก่อนนอนเหมือนเมื่อก่อน แต่งานดิฉันก็เสร็จทันส่งตอนเช้าอยู่ดี แถมยังได้งานที่ดีกว่าเดิมด้วย


เวลาผ่านไป หลังจากดิฉันกำหนดเวลาในการทำงาน การนอน และการฝึกชี่กงแบบนี้ จนชีวิตลงตัวในระดับหนึ่ง ดิฉันก็เริ่มเกิดไอเดียว่า ถ้าเราลองกำหนดเวลาในการทำงานแต่ละชิ้นให้น้อยลง เราอาจจะไม่ต้องหอบงานกลับไปทำที่บ้านเลยก็ได้


ดิฉันก็เลยลองตั้งเป้าหมายกับตัวเองว่า ในการทำงานแต่ละชิ้น ดิฉันจะใช้เวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมง ก็คือภายในครึ่งวันของเวลาทำการออฟฟิศ


นี่จัดว่าเป็นการกระทำที่อาจหาญมาก เพราะปกติงานหนึ่งๆ ดิฉันใช้เวลาเป็นวัน บางงานก็ทำทั้งสัปดาห์ด้วยซ้ำ


แต่ของมันต้องลองค่ะ ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ แล้วผลการทดลองนั้นก็ทำให้ดิฉันรู้ว่า…


ดิฉันทำได้จริงๆ ด้วย งานเสร็จภายใน 3 ชั่วโมงจริงๆ ไม่ใช่เสร็จแบบลนลานด้วยนะ เสร็จแบบชิลๆ เลย


ดิฉันจึงลองลดเวลาลงอีก โดยตั้งเป้าว่าจะต้องทำงานแต่ละชิ้นให้เสร็จภายใน 2 ชั่วโมง


ผลก็คือ ทำได้ซะอีกแน่ะ เอาซี้!!!


ถ้าคิดว่าดิฉันจะพอใจแค่นี้…ไม่ค่ะ…ดิฉันยังลดเวลาลงอีกครึ่งหนึ่ง เหลืองานละ 1 ชั่วโมง ดูซิจะทำได้หรือเปล่า


เอ้า! ก็ทำได้นี่ แถมได้งานที่มีคุณภาพด้วยนะ ไม่ใช่สุกเอาเผากิน


คราวนี้ดิฉันพอแล้ว ถ้าลดเวลาลงอีกเดี๋ยวจะสุดโต่งเกินไป ทางสายกลางของดิฉันคือ 1 ชั่วโมงนี่แหละ เป็นเวลาที่พอดีที่สุดสำหรับ 1 ชิ้นงาน


แต่ทำไปทำมา ดิฉันก็พบว่า บางงานที่ไม่ยากเท่าไหร่ ดิฉันก็สามารถทำเสร็จภายในเวลา 45 นาที หรือ 30 นาที หรือแม้แต่ 20 นาทีได้


สุดท้าย ดิฉันก็ไม่ต้องกำหนดเวลาอะไรให้ตัวเองอีกแล้ว ที่เคยกำหนด 1 ชั่วโมงไว้ก็ไม่จำเป็น เพราะไม่มีงานใดเลยที่ดิฉันใช้เวลาเกิน 1 ชั่วโมงในการทำ


คราวนี้ เมื่อทำงานเสร็จเร็วขึ้น อย่าว่าแต่จะไม่ต้องหอบงานกลับมาทำที่บ้านเลย แม้กระทั่งเวลา 8 ชั่วโมงในออฟฟิศ ดิฉันก็ยังมีเหลือเฟือ สามารถนั่งชิล พักผ่อน อ่านหนังสือ หรือค้นคว้าข้อมูลอะไรต่างๆ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ให้แก่ตัวเอง ซึ่งก็เป็นสิ่งที่มาช่วยเสริมการทำงานให้ดีขึ้นได้อีกด้วย


ผลการปฏิบัติงานของดิฉันจัดว่าหรูหราหมาเห่าทีเดียวแหละ ดิฉันก็เลยได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นไปเรื่อยๆ ตามลำดับ จนถึงจุดที่กล่าวได้ว่าสูงมาก สูงกว่าคนวัยเดียวกันและอายุการทำงานเท่าๆ กัน


ดิฉันเคยไปขึ้นเวทีกับ อ.สุรศักดิ์ เวลาอาจารย์ไปบรรยายเรื่องชี่กงในที่ต่างๆ พอดิฉันเล่าเรื่องการ ‘หาวิธีที่จะทำงานให้เสร็จเร็วขึ้น’ ดังที่เล่ามาข้างต้นนี้ อาจารย์ก็มักจะกล่าวว่า


“ป่านเนี่ย เห็นอย่างนี้แต่เขาทำงานในตำแหน่งสูงมาก เป็นงานที่สำคัญมากของประเทศเลยนะ”


ดิฉันก็ไม่อยากถามว่า ‘เห็นอย่างนี้’ นี่คืออย่างไหน ฮ่าๆๆ


แต่คิดว่าอาจารย์คงภูมิใจแหละ ที่ดิฉันแก้ ‘โจทย์อันท้าทาย (มาก)’ ซึ่งอาจารย์ให้ไว้ได้สำเร็จ


**********



Qigong and I The Series ขอจบภาค 1 แต่เพียงเท่านี้


เหตุการณ์ในภาค 2 จะเป็นเรื่องราวชีวิตของดิฉันหลังพบจุดพลิกผันที่ทำให้ต้องหยุดเรียนและฝึกชี่กงไป 2 ปี


ชีวิตดิฉันจะเป็นอย่างไร จะล้มลุกคลุกคลานแค่ไหน…


จบภาค 1.... ภาคมนุษย์


(โปรดติดตามต่อในภาค 2 เร็วๆ นี้)



บันทึก อ.สุรศักดิ์


Qigong คือการฝึกฝนบำเพ็ญ ใน “กาย จิต ปราณ”


ป่านมีความตั้งใจและฝึกฝนได้ดี เพียง 3 เดือนก็สามารถบำบัดโรคทางพันธุกรรม โรคเรื้อรัง โรคร้ายแรง ที่ทวีความรุนแรงได้จนเกือบหมด


ภาวะของจิตได้ยกระดับจนสามารถเปิดขุมปัญญาภายใน งานสำคัญระดับประเทศที่เคยใช้เวลานานหลายวัน ก็เสร็จภายในไม่เกิน 1 ชั่วโมง คุณภาพ ประสิทธิภาพดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด ได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นเรื่อยๆ จนอยู่ระดับที่สูงมาก


น่าชื่นชมยินดี ในความตั้งใจ เพียรพยายามและผลลัพธ์ที่ได้ เป็นอย่างยิ่ง


"ความต่อเนื่องคือพลัง"

bottom of page