top of page

ภาค 2 ตอนที่ 2 “โรคธรรมดาที่ไม่ธรรมดา”

  • 18naturalmind
  • 8 เม.ย.
  • ยาว 1 นาที

อัปเดตเมื่อ 27 เม.ย.

Qigong and I The Series โดย : ป่าน


เมื่อ Ep.ที่แล้ว ดิฉันได้นำ Qigong and I The Series ภาค 1 มาสรุปรวบยอดให้เห็นชัดๆ กันไปเลยว่า ผลการฝึกชี่กงทำให้ ‘สิบโรคมหากาฬ’ ที่ดิฉันเป็นอยู่ ดีขึ้นยังไงบ้าง


พร้อมทั้งทิ้งท้ายไว้ว่า มีอยู่โรคหนึ่งที่ดิฉันยังไม่เคยพูดถึงเลย เป็นโรคที่ธรรมดาสุดๆ และ อ.สุรศักดิ์ เคยบอกว่าจัดการง่ายสุดๆ แต่ดิฉันกลับไม่สามารถจัดการมันได้สิ้นซาก แม้จะฝึกชี่กงอย่างต่อเนื่องมา 2 ปีก็ตาม


โรคที่ว่านั้นก็คือ…


‘โรคหวัด’ นั่นเองๆๆๆ (เอคโค่)


ตั้งแต่เด็กมาแล้ว หวัดเป็นโรคที่ไม่เคยห่างหายไปจากดิฉันเลย ดิฉันเป็นหวัดง่ายมาก โดนแดดโดนฝนนิดหน่อยก็เป็นแล้ว แถมยังติดหวัดจากคนอื่นได้ง่ายดาย จนเป็นที่รู้กันว่าดิฉันเป็นพวก ‘กระหม่อมบาง’


การเป็นหวัดของดิฉันมีหลายระดับ ตั้งแต่ระดับพื้นๆ แค่เจ็บคอคัดจมูกน้ำมูกไหลไอจาม กินยาสามัญประจำบ้านไม่กี่วันก็หาย จนถึงระดับเป็นไข้นอนซม ต้องหาหมอฉีดยาและพักฟื้นเป็นอาทิตย์ แล้วหลังจากหายไข้ก็ยังเป็นหวัดอยู่อีกร่วมเดือน กว่าน้ำมูกใสจะกลายเป็นน้ำมูกเขียวแล้วแห้งสนิท กว่าเสียงพูดแหบๆ บี้ๆ จะกลับมาเป็นเสียงปกติของตัวเอง


ดิฉันเป็นหวัดจนเป็นกลายเรื่องธรรมดา จนคิดว่า “โรคธรรมดาแบบนี้ใครๆ ก็เป็นได้” แม้เมื่อมาเรียนชี่กงแล้ว อ.สุรศักดิ์ จะบอกว่า “โรคธรรมดาแบบนี้ใครๆ ก็หายได้” ดิฉันก็ยังไม่เชื่อ เพราะดิฉันยังไม่หายสักหน่อย เวลากระทบร้อนกระทบหนาวหรือพักผ่อนน้อย ก็ยังเป็นหวัดอยู่ เพียงแต่ไม่บ่อยเท่าเดิม


ในช่วงที่ฝึกชี่กง 2 ปีแรกนั้น ดิฉันคิดว่าตัวเองเป็นคนที่ประหลาดมาก เพราะโรคยากๆ อย่างโรคทางพันธุกรรม ที่ไม่มีทางรักษาด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน ดิฉันกลับหายขาดได้หลังจากฝึกชี่กงต่อเนื่องเพียงแค่เดือนสองเดือน ในขณะที่โรคหวัด ซึ่ง อ.สุรศักดิ์ มักจะบอกเสมอว่า “เป็นโรคที่ ‘หมู’ มาก” ดิฉันกลับจัดการมันไม่ได้สักที


จนเมื่อต้นปี 2563 ตอนที่โรคโควิด-19 เพิ่งระบาดในเมืองไทยระลอกแรก อ.สุรศักดิ์ ต้องปรับการเรียนการสอนเป็นรูปแบบออนไลน์ พวกเราก็เลยได้เรียนทฤษฎีการแพทย์แผนจีนในคลาสชี่กง นั่นแหละจึงทำให้ดิฉันรู้ว่า การที่คนเราจะป่วยเป็นโรคอะไร โรคไหนหายเร็ว โรคไหนหายช้านั้น มีปัจจัยหนึ่งที่เกี่ยวข้องโดยตรง ก็คือสภาวะพื้นฐานดั้งเดิมของแต่ละคน


บังเอิญว่าร่างกายดิฉันนั้น มีสภาวะที่เป็นปัญหามากๆ ดิฉันขออุบไว้ก่อนว่าเป็นยังไง เดี๋ยวค่อยเล่าใน Ep.ต่อๆ ไป ตอนนี้เอาเป็นว่า การเรียนทฤษฎีแพทย์แผนจีนทำให้ดิฉันได้คำตอบ ว่าทำไมโรคหวัดซึ่งเป็นโรคที่ ‘หมูมาก’ สำหรับนักเรียนชี่กงคนอื่นๆ จึงเป็นโรคที่ยากเย็นแสนเข็ญสำหรับดิฉันนัก


‘ยากเย็นแสนเข็ญ’ อย่างไร ดิฉันขอพาทุกท่านย้อนเวลากลับไปที่ปลายปี 2559 ค่ะ


ในตอนนั้น ดิฉันฝึกชี่กงต่อเนื่องมาแล้ว 2 ปี โรคภัยไข้เจ็บที่รุมเร้าอยู่ทยอยดีขึ้น แต่ยังคงเป็นหวัดบ้างประปราย


ปรากฏว่า เกิดเหตุการณ์พลิกฟ้าพลิกแผ่นดินอย่างหนึ่ง ทำให้ดิฉันต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตและการทำงานใหม่หมดอย่างรุนแรงและรวดเร็ว การจัดสรรเวลาแบบเดิมที่ทำไว้ลงตัวแล้วจึงพังพินาศ วันเสาร์ซึ่งเป็นวันเข้าคลาสชี่กง กลายเป็นวันทำงาน ส่วนวันอื่นๆ ซึ่งสามารถตื่นตี 5 มาฝึกชี่กงได้ ก็ทำไม่ได้แล้วเพราะแทบจะไม่ได้นอน แต่ละวันแค่หาเวลานอนให้ถึง 4 ชั่วโมงได้ก็นับว่าเก่งแล้ว ดิฉันจึงขาดเรียนและขาดการฝึกไป จนกระทั่งต้นปี 2560


ในตอนนั้น ดิฉันเป็นหวัดงอมแงม น้ำมูกไหลย้อยหยดเป็นยวงตลอดเวลา ผ่านไป 2 สัปดาห์น้ำมูกแห้ง แต่ยังคงไอมากอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนกลางคืน บางทีไอทั้งคืนจนแทบไม่ได้นอน ทำให้คนที่บ้านพลอยไม่ได้หลับได้นอนไปด้วย


ตอนนั้นดิฉันงงมากว่าทำไมหายหวัดแล้วยังไออยู่อีก ก็เลยไปหาหมอ


หมอบอกว่าดิฉันเป็นโรค ‘หลอดลมอักเสบเฉียบพลัน’ แล้วก็จ่ายยาแก้ไอกับยาละลายเสมหะให้ แต่ไม่ว่าจะกินยากี่ขนาน ดิฉันก็ยังไอเป็นบ้าเป็นหลังอยู่เช่นเดิม


ลักษณะอาการเวลาที่จะไอก็คือ อยู่ดีๆ ก็จะคันคอขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ แล้วก็จะไอโดยอัตโนมัติ และพอเริ่มไอแล้วก็จะไอต่อเนื่องเป็นชุดโดยไม่หยุดง่ายๆ ไอจนเจ็บซี่โครง ตัวงอเป็นกุ้งเลยทีเดียว พ่นคามิโลซานจนจะหมดขวดก็ช่วยได้แป๊บเดียวเท่านั้น


อาการไอนี้เป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตของดิฉันมาก เพราะมันแทบจะทำให้ดิฉันทำกิจกรรมในที่ประชุมชนไม่ได้เลย ดิฉันจำเป็นต้องย่องออกจากโรงหนัง ห้องประชุมสัมมนา และห้องเรียน นับครั้งไม่ถ้วน เพื่อจะมายืนหลบมุมไออยู่ข้างนอกอย่างเอาเป็นเอาตาย ถ้าเป็นสมัยนี้ไอขนาดนี้ผู้คนคงวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น คิดว่าเป็นโควิด-19


ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ออฟฟิศบอกดิฉันว่า อาการแบบนี้คนโบราณเรียก ‘ไอร้อยวัน’ เกิดจากการที่ดิฉันยังมีเสมหะเยอะอยู่หลังจากเป็นหวัด ร่างกายก็เลยพยายามขับเสมหะออกมา


ดิฉันเข้าใจว่า ที่เรียกกันว่า ‘ไอร้อยวัน’ นั้น ไม่ได้หมายถึง 100 วันจริงๆ แต่หมายถึงเยอะหรือยาวนาน เหมือนที่เราเรียก ‘โค้งร้อยศพ’ หมายถึงทางโค้งที่มีคนตายเยอะ หรือ ‘คนร้อยเล่ห์’ หมายถึงคนที่มีเล่ห์เหลี่ยมเยอะ


แต่พอนับไปนับมา ดิฉันก็ไอเฉียดๆ 100 วันอยู่นะ เพราะไอแบบนี้มาร่วม 3 เดือนแล้ว หนักหนาสาหัสจริงๆ


การไอมาราธอนเช่นนี้ ทำให้ดิฉันนอนหลับได้น้อยมาก หลายครั้งกำลังหลับอยู่ดีๆ ก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะคันคอ พอคันคอก็ไอ พอไอก็ไม่ได้นอน พอไม่ได้นอนก็สุขภาพเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ ทำให้อาการไอยิ่งแย่ลงอีก วนเวียนเป็นวงจรอุบาทว์โดยไม่มีทางแก้ไข


จนกระทั่งวันหนึ่ง ดิฉันกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ตอนกลางคืนไอมากตั้งแต่เริ่มล้มตัวลงนอน แล้วก็ไอไปทั้งคืนจนถึงตี 4 โดยที่ไม่ได้หลับเลยแม้แต่วินาทีเดียว


ดิฉันเจ็บหน้าอกมาก และรู้สึกว่าเริ่มมีอาการหอบหายใจไม่ทัน คิดว่าลงปอดแน่แล้ว ก็เลยรีบปลุกแม่ให้พาไปหาหมอ


แม่รีบล้างหน้าแปรงฟันอย่างด่วน แล้วก็รีบขับรถพาดิฉันไปโรงพยาบาล ดิฉันนั่งรถไปก็ไอไปตลอดทาง เหลือบมองแม่ เห็นขับรถมือไม้สั่น สติสตังกระเจิงจนเกือบขับเลยป้าย ดิฉันสะท้อนใจมาก แม่ก็แก่แล้วยังต้องมารับภาระแบบนี้อีก ดิฉันจะต้องตัดวงจรอุบาทว์นี้ ดิฉันจะไม่ให้แม่ต้องเผชิญเรื่องพรรค์นี้อีกต่อไป…


ดิฉันหมายมั่นปั้นมือไว้เช่นนั้น ในขณะที่ลากแม่มาตกอยู่ในสภาพ ‘เป็นคนไข้ต้องอดทน’ ด้วยกันตั้งแต่ตี 5 ยันเที่ยง เพราะแผนกฉุกเฉินที่โรงพยาบาลต่างจังหวัด กว่าจะมีหมอก็ปาเข้าไป 8 โมงครึ่ง ดิฉันนั่งไอรอจนไส้แทบจะทะลักออกมาทางปาก ง่วงก็แสนง่วงเพราะไม่ได้นอนมาทั้งคืน


หมอให้ดิฉันไปเอ็กซ์เรย์ปอด ผลปรากฏว่าปอดยังอยู่ดี คืออาการอักเสบของดิฉันมันยังอยู่แค่ทางเดินหายใจส่วนบน ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องดี แต่ที่แย่ก็คือ อาการหลอดลมอักเสบเฉียบพลันได้พัฒนาเป็น ‘ไซนัสอักเสบ’ ซึ่งเป็นโรคที่รักษาได้ยากมาก และจะกลายเป็นโรคประจำตัวของดิฉันต่อไป


เป็นอันว่า จากโรคหวัด พัฒนาเป็นโรคหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน และในที่สุดก็กลายเป็นโรคไซนัสอักเสบ


Ep.หน้า ดิฉันจะมาเล่าว่ามันสามารถพัฒนาเป็นอะไรได้อีก รับรองค่ะว่าใหญ่โตมโหฬารบานทะโรคอย่างที่ไม่มีใครคาดคิดแน่นอน


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

bottom of page