ภาค 2 ตอนที่ 3 “ลึกสุดใจ”
- 18naturalmind
- 11 เม.ย.
- ยาว 1 นาที
อัปเดตเมื่อ 27 เม.ย.
Qigong and I The Series โดย : ป่าน

ตอนเด็กๆ ดิฉันรู้สึกว่าชื่อโรค ‘ไซนัสอักเสบ’ เป็นชื่อที่เท่ดี คำว่า ‘ไซนัส’ ซึ่งเป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ ทำให้ฟังดูหรูหราไฮโซไม่หยอก
ไม่คิดเลยว่า ในกาลต่อมาดิฉันจะต้องมาเป็นโรคนี้เสียเอง
สาเหตุก็เนื่องมาจากว่า ดิฉันมีเสมหะเยอะเพราะเป็นหวัดบ่อย เสมหะก็เลยไปคั่งค้างที่หลอดลม ทำให้ติดเชื้อ กลายเป็นหลอดลมอักเสบ พอเป็นหลอดลมอักเสบจมูกก็เลยบวม ระบายน้ำมูกออกไม่ได้ น้ำมูกก็คั่งค้างอยู่ในโพรงไซนัส ซึ่งเป็นโพรงอากาศรอบๆ จมูก พอน้ำมูกสะสมเยอะเข้า มันก็จะเหนียวหนืดและติดเชื้อ ดังนั้นไซนัสก็เลยอักเสบฉะนี้แล
ที่จริงดิฉันค่อนข้างจะชินกับการมีน้ำมูกมีเสมหะ เพราะเวลาอากาศเปลี่ยนก็มักจะแพ้อากาศเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แถมยังเป็นหวัดบ่อยชนิดที่มาฝึกชี่กงแล้วก็ยังไม่ถึงระดับที่จะจัดการได้
แต่สองโรคนี้บวกกันก็ยังไม่เท่าไซนัสอักเสบ เพราะมันทำให้ดิฉันปวดบริเวณโพรงไซนัสทั้งหมดเลย ซึ่งก็กินอาณาบริเวณเกือบทั้งใบหน้า หายใจทางจมูกแทบไม่ออก ต้องหายใจทางปากแทน เวลานอนทรมานสุด เพราะต้องนอนอ้าปากตลอดเวลา พอเริ่มเคลิ้มๆ ปากค่อยๆ หุบลง ก็ต้องสะดุ้งตื่นเพราะหายใจไม่ได้
การกินยาและล้างจมูกทุกวันช่วยให้อาการทุเลาลงบ้าง แต่ยังไม่ทันหายก็ปรากฏว่า…
ดิฉันเกิดเป็นไข้ตัวร้อนขึ้นมา และมีอาการปวดเมื่อยร่างกายกับอ่อนเพลียขั้นสุด จึงต้องหอบสังขารไปโรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้าน ตอนนั้นกลับจากต่างจังหวัดแล้ว ไม่มีแม่พาไป จึงไปเองคนเดียว
พอคุณหมอซักถามอาการเสร็จ ก็สั่งให้ดิฉันแอดมิตทันที ดิฉันถึงกับเหวอ ถึงขั้นแอดมิตเลยเหรอวะเนี่ย
พยาบาลทำเรื่องแอดมิตให้ดิฉันอย่างรวดเร็ว พาดิฉันเข้าห้องพัก แนะนำว่าอะไรอยู่ตรงไหน แล้วนางก็แว่บออกจากห้องไป
ดิฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดคนไข้ ขึ้นไปนั่งรอบนเตียงตามที่พยาบาลสั่ง จนกระทั่งพยาบาลอีกหมู่หนึ่งเข้ามาในห้อง บอกว่าคุณหมอให้เก็บน้ำมูกดิฉันไปตรวจ
ตอนนั้นยังไม่มีโรคโควิด-19 ดิฉันจึงค่อนข้างแปลกใจอยู่เหมือนกันที่พยาบาลทุกคนใส่หน้ากากอนามัย ใส่หมวกคลุมผม แถมยังใส่ถุงมือยางด้วย แต่ยังไม่ทันจะได้สงสัยอะไรมากไปกว่านั้น พยาบาลคนหนึ่งก็ตรงเข้ามาสอดก้านอะไรบางอย่างเข้าไปในรูจมูกข้างขวาของดิฉัน แล้วยอนลึกขึ้นไปเรื่อยๆ
นั่นแหละค่ะ ตอนนั้นยังไม่มีโรคโควิด-19 ดิฉันจึงยังไม่รู้จักการแยงจมูกเพื่อเก็บสารคัดหลั่งไปตรวจหาเชื้อไวรัส แต่ตอนนี้ หลังจากได้ผ่านสมรภูมิการตรวจหาเชื้อโควิดมานับครั้งไม่ถ้วน ตามวิถีชีวิตแบบ 'ปกติใหม่' (New Normal) ที่เราทุกคนเผชิญกันมาเกือบ 3 ปีแล้วนั้น ขอบอกเลยว่า การแยงจมูก (swab test) เพื่อหาเชื้อโควิดทุกวันนี้ ต่อให้คนแยงมือหนักแค่ไหน ก็เทียบกับครั้งแรกของดิฉันไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
เพราะการแยงครั้งนั้น เขาต้องแยงขึ้นไปถึงโพรงไซนัสตรงหว่างคิ้ว เพื่อยอนน้ำมูกที่คั่งค้างอยู่ในนั้นออกมา ดังนั้นก้านแยงจึงต้องยาวมาก และต้องเป็นก้านอ่อนๆ ไหวๆ เพื่อให้ชอนไชได้
ตอนนั้นดิฉันไม่รู้อะไรเลย จึงไม่ทันได้ตั้งตัว รู้ตัวอีกที ก้านแยงเข้าไปในรูจมูกจนเกือบจะถึงหว่างคิ้วแล้ว ดิฉันเจ็บจนแทบดิ้น น้ำตากระเด็นจากดวงตาทั้งสองข้างโดยที่มิได้อยากร้องไห้แม้แต่น้อย พยาบาลอีกคนกดไหล่ดิฉันไว้ ปลอบว่า "อีกนิดเดียวนะคะ อีกนิดเดียวค่ะ" ในขณะที่พยาบาลมือแยงขยับก้านแยงชอนไชขึ้นไปจนถึงหว่างคิ้วของดิฉัน แล้วดึงออกมาโดยมีน้ำมูกใสๆ เหนียวๆ ลักษณะเหมือนกาวน้ำ ทะลักตามก้านแยงออกมาด้วยเป็นยวง
หลังจากเก็บตัวอย่างเสร็จ พยาบาลก็ปล่อยให้ดิฉันนอนแสบจมูกตามอัธยาศัย เพลง "ลึกสุดใจ" ของวงนูโว ดังเอคโค่อยู่ในหัวตลอดเวลา ฮ่าๆๆ ฮือๆๆ
ผ่านไปชั่วโมงหนึ่ง คุณหมอผู้สั่งแอดมิตก็เข้ามาในห้อง พร้อมใส่หน้ากากอนามัย หมวกคลุมผม และถุงมือยาง เต็มยศ
คุณหมอยืนห่างจากเตียงดิฉันมากที่สุดเท่าที่จะห่างได้ แล้วบอกว่า
"ผลตรวจออกแล้วนะครับ เป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ"
ดิฉันคิดในใจ 'อินเทรนด์เอี้ยๆ' เพราะช่วงนั้นโรคนี้กำลังระบาดพอดี วัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่ฉีดทุกปีก็ยังป้องกันไม่ได้
"หมอจะให้น้ำเกลือ กับยาต้านไวรัส และต้องนอนโรงพยาบาลอย่างน้อย 2 คืนนะครับ ถ้าจะให้ดีคนที่บ้านไม่ควรมาเยี่ยม เพราะโรคนี้ติดกันง่าย" คุณหมอกล่าว
เป็นอันว่า ดิฉันก็ต้องนอนโรงพยาบาลโดยสวมชุดคนไข้แบบโล่งโจ้งเพราะไม่มีชุดชั้นในเปลี่ยน และทำทุกอย่างด้วยตัวเองเพราะไม่มีคนเฝ้าไข้ ไม่ว่าจะกินข้าว กินยา เข้าห้องน้ำ เช็ดตัว แต่งตัว หรือตวงปัสสาวะให้พยาบาลเก็บไปตรวจ
ที่จริงพยาบาลก็ถามแหละว่า ต้องการให้ช่วยทำไหม แต่ดิฉันพอมีเรี่ยวแรงที่จะทำเองได้อยู่ จึงบอกเขาว่าไม่เป็นไร
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากได้รับยาต้านไวรัสและน้ำเกลือไป 1 วัน 1 คืน ดิฉันก็รู้สึกว่าอาการดีขึ้นมาก จนเกือบเป็นปกติ
เช้าวันต่อมา รู้สึกว่าหายสนิท จนพยาบาลแปลกใจ พอช่วงบ่ายคุณหมอมาติดตามอาการ ดูผลตรวจแล้วถึงกับออกปากว่า "หายเร็วดีจัง"
คุณหมออนุมัติให้ดิฉันกลับบ้านได้ในเย็นวันนั้น โดยเขียนใบรับรองแพทย์ให้ดิฉันหยุดงานอยู่บ้านอีก 1 สัปดาห์ จนกว่าจะพ้นช่วงที่จะแพร่เชื้อให้คนอื่น
เส้นทางการเป็นโรคระบบทางเดินหายใจของดิฉัน จากเป็นหวัดบ่อย กลายเป็นโรคหลอดลมอักเสบ ไซนัสอักเสบ และในที่สุดก็ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ ดังที่เล่ามานี้ ถ้าถามว่าถึงจุดสิ้นสุดแล้วหรือยัง
คำตอบมาเร็วเกินคาด เพราะหลังจากไข้หวัดใหญ่หายสนิทได้เพียง 2 สัปดาห์ ดิฉันก็ต้องพุ่งไปโรงพยาบาลอีกรอบ
ด้วยอาการป่วยอีกโรคหนึ่งซึ่งสืบเนื่องจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ
(โปรดติดตามตอนต่อไป)