top of page

ภาค 2 ตอนที่ 5 “ประสบการณ์เฉียดตาย (ครั้งที่เท่าไหร่ไม่ได้นับ)”

  • 18naturalmind
  • 27 เม.ย.
  • ยาว 1 นาที

Qigong and I The Series โดย : ป่าน


เมื่อ 9 ปีที่แล้ว ดิฉันจับพลัดจับผลูได้ไปอเมริกา ตอนอยู่ที่นั่นไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น ยกเว้นอยู่เรื่องเดียว คือส้วมสาธารณะ


ส้วมสาธารณะในอเมริกานั้น ส่วนใหญ่สะอาดสะอ้านดี แต่สิ่งที่ทำให้ดิฉันขับถ่ายไม่ออกเอาเลยจริงๆ ก็คือประตูห้องส้วมมันซีทรูมากกกก


ส้วมสาธารณะในเมืองไทย ประตูจะปิดมิดชิด แม้ด้านบนจะไม่ได้จรดเพดาน แต่ด้านล่างก็จรดพื้น หรือถ้าไม่จรด ก็จะมีช่องว่างระหว่างขอบประตูกับพื้นเพียงเล็กน้อย ถ้าไม่ก้มลงมองก็จะไม่เห็นว่ามีคนเข้าส้วมอยู่หรือเปล่า และถึงจะก้มลงมองก็จะเห็นเพียงเท้าของคนที่เข้าส้วมอยู่เท่านั้น ในกรณีที่เป็นส้วมชักโครกซึ่งต้องนั่งห้อยขาลงมา


แต่ส้วมสาธารณะในอเมริกา ช่องว่างระหว่างขอบประตูกับพื้นมันกว้างมากกกกก คือขอบประตูมันสูงจากพื้นเป็นฟุต น่าจะเกินฟุตด้วย มองจากข้างนอกเข้าไป เห็นขาคนนั่งส้วมอยู่สลอน เห็นไปเกือบถึงหัวเข่าเลยจ้ะ


ส่วนคนที่นั่งอยู่ข้างใน ก็อย่านึกว่าจะไม่เห็นข้างนอกนะ เพราะถ้าเรานั่งบนโถส้วมแล้วมองลงไปที่ช่องประตูด้านล่าง จะสามารถมองเห็นออกไปถึงนอกห้องน้ำ เห็นคนเดินขวักไขว่ไปมาอย่างชัดแจ๋วเลย


นึกถึงหนังซอมบี้ทั้งหลาย เช่นเรื่อง Zombieland ที่เวลาคนเข้าส้วมสาธารณะ แล้วซอมบี้คลานลอดช่องประตูส้วมเข้ามาได้ทั้งตัวอ่ะ มันไม่ได้เกินจริงเล้ยยยย


การที่ส้วมสาธารณะในอเมริกาต้องเป็นแบบนี้ ก็เพราะคนที่นี่เส้นเลือดในสมองแตกกันเยอะ บางทีคนแก่ก็เป็นลมในส้วมกัน เขาจึงต้องทำประตูให้โปร่งๆ เข้าไว้ ถ้าใครเป็นอะไรในส้วม คนข้างนอกจะได้มองเห็นและพังประตูเข้าไปช่วยได้


หลักการนี้ก็เหมือนกับห้องซีซียูที่ดิฉันนอนหมดสภาพอยู่ตอนนี้นี่เอง


แต่แม้จะเข้าใจความจำเป็นในจุดนี้ ก็ใช่ว่าดิฉันจะทำใจขับถ่ายโดยมองเห็นคนอื่นเดินขวักไขว่ไปมาอยู่ใกล้ๆ ได้โดยง่าย


แล้วพอทำใจไม่ค่อยได้ ทั้งๆ ที่ปวดฉี่มาก ก็ดันฉี่ไม่ออกขึ้นมาซะงั้น


ดิฉันมองผ้าห่มที่คลุมตัวอยู่...หรือกุจะคลุมโปงไปเลย แล้วฉี่อยู่ในโปง จะได้มองไม่เห็นใคร


แต่ถ้าพยาบาลหันมาเห็นว่าฉันคลุมโปง แล้วเกิดกลัวว่าฉันจะหายใจไม่ออก เปิดประตูพรวดเข้ามาช่วย ก็บรรลัยสิ...


ไม่เอาละ ฉี่มันทั้งยังงี้แหละ ต้องฉี่ให้ได้ ทำยังไงดีหว่า...อ๋อ!! นึกออกแล้ว


คิดได้ดังนั้น ดิฉันก็ปฏิบัติการทันที


วิธีการก็คือ กระตุ้นให้ฉี่ออกมา ด้วยการทำเสียง "sheeeeeeeee"


เหมือนเวลาที่พ่อแม่จับเรานั่งกระโถนตอนเด็กๆ ไง 55555


หลังจากปฏิบัติการสำเร็จ ดิฉันก็ได้นอนพักอยู่ในห้องซีซียู จนกระทั่งอัตราการเต้นของหัวใจเริ่มลดลง จาก 130 เหลือประมาณ 100 ครั้งต่อนาที


จากนั้น พยาบาลก็มาพาดิฉันไปแอดมิต ได้เข้าพักในห้องผู้ป่วยแบบมีฝามิดชิด 4 ด้านในที่สุด


แล้วประมาณ 2 ทุ่ม หมอก็มา


หมอบอกว่า "จากการตรวจเอ็กซเรย์ปอด ตรวจเลือด และตรวจน้ำมูก..."


ดิฉันคิดตามที่หมอบอก ด้วยความงงตัวเองว่าตรวจเยอะขนาดนี้ทำไมจำอะไรไม่ได้เลย แสดงว่าเมื่อเช้าเราคงแทบไม่รู้สึกตัวแล้วสินะ


"ผลตรวจออกมาว่า คุณเป็นโรคปอดอักเสบครับ" หมอกล่าว


โรคปอดอักเสบนี้ เรียกอย่างบ้านๆ ว่า "ปอดบวม" เรียกอย่างอินเตอร์ว่า "นิวมอเนีย" (Pneumonia) เป็นโรคที่ดิฉันคุ้นเคยมากแม้ว่าจะไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะตอนเด็กๆ ดิฉันโดนยายดุเป็นประจำว่า "อย่าออกไปตากน้ำค้างนะ เดี๋ยวเป็นปอดบวม" หรือ "ใส่เสื้อกันหนาวด้วยนะ ระวังเป็นปอดบวม"


ใครจะไปรู้ว่าดิฉันจะต้องมาเป็นโรคนี้ตอนแก่


หมออธิบายว่า ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอทำให้ปอดของดิฉันอ่อนแอลงมาก พอได้รับเชื้อโรค ก็เลยลงปอดทันที


ในการรักษา หมอจะให้ยาฆ่าเชื้อเข้าทางเส้นเลือด ให้กินยาลดน้ำมูกกับยาละลายเสมหะ เจาะเลือดไปตรวจทุกวัน และพ่นยาขยายหลอดลมเช้าเย็น ถ้าผลเลือดปกติไม่มีเชื้อแล้ว ปอดทำงานได้ดีขึ้น และอัตราการเต้นของหัวใจเป็นปกติ ก็กลับบ้านได้ แต่ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะต้องใช้เวลากี่วัน


ดิฉันฟังหมออธิบายแล้วเข้าใจทุกอย่าง แต่มีอย่างหนึ่งซึ่งยังอยากถาม แม้จะพอรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่ก็ยังอยากฟังจากปากหมอให้แน่ใจ


"หมอคะ เมื่อเช้าตอนมาโรงพยาบาล หนูอาการหนักขนาดไหนเหรอคะ"


หมอยิ้มเพลียๆ แล้วตอบว่า


"ถ้ามาถึงช้ากว่านั้นอีกนิดก็....."


หมอละไว้ในฐานที่เข้าใจ


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

bottom of page